นับตั้งแต่การเปิดตัว iPhone 17 ซีรีส์ และ iPhone Air ออกสู่ตลาด หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากทั้งผู้ใช้งาน และผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อ iPhone รุ่นใหม่ ตั้งคำถามคือ การเปลี่ยนวัสดุในรุ่นท็อปจาก ‘ไทเทเนียม’ กลับมาเป็น ‘อะลูมิเนียม’
แน่นอนว่า สิ่งที่ Apple สื่อสารออกมาตั้งแต่แรกคือการที่ วัสดุอย่าง ‘อะลูมิเนียม’ สามารถระบายความร้อน และทำให้เครื่องใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ตัดภาพกลับมา เมื่อหลายคนได้สัมผัสกับ iPhone Air ที่ยังคงใช้วัสดุหลักเป็น ‘ไทเทเนียม’ กลับให้ความรู้สึกที่พรีเมียมมากกว่า
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์พิเศษจากทีมวิศวกรที่คัดเลือก และออกแบบ iPhone เผยให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจว่า เบื้องหลังของการดีไซน์ทั้ง iPhone 17 Pro รวมถึง iPhone 17 Pro Max และ iPhone Air เกิดขึ้นบนแนวคิดที่ต้องการผลิต iPhone ที่มีความสามารถสูง และทรงพลังมากที่สุด ทำให้เกิดการออกแบบใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก
ริช ดิน (Rich Dinh) รองประธานฝ่ายออกแบบ iPhone ให้ข้อมูลถึงการออกแบบ iPhone ในปีนี้ว่า ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดในหลายๆ ส่วน และนำเสนอนวัตกรรมออกมาให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดี และล้ำสมัยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ใน iPhone 17 ที่มากับจอแสดงผลแบบ ProMotion ที่ให้อัตราการแสดงผล 120 Hz ตามด้วยดีไซน์ใหม่ของ iPhone 17 ในรุ่น Pro พร้อมกับการเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่อย่าง iPhone Air ออกสู่ตลาด
“iPhone รุ่น Pro ของปีนี้ นับเป็นการยกระดับมาตรฐานให้สูงกว่าที่เคยมีมา ทั้งการออกแบบภายใน และภายนอกใหม่ทั้งหมด เพื่อมุ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพที่ยั่งยืน และดีไซน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะกับการจัดการเรื่องความร้อน”
ทีมวิศวกรของแอปเปิล ค้นพบว่า แม้ไทเทเนียมจะดูพรีเมียมและแข็งแกร่ง แต่ในแง่ของ การนำความร้อน อะลูมิเนียมทำได้ดีกว่าไทเทเนียมถึง 20 เท่า จึงเป็นที่มาของการนำ อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ผลิตยานอวกาศ (7000 ซีรีส์) มาขึ้นรูปแบบชิ้นเดียว (Unibody)
วิล ทรู (Will True) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ iPhone เล่าถึงความท้าทายในการนำอะลูมิเนียมมาขึ้นรูปแบบ Unibody ว่าต้องใช้ความร้อน โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมในระดับวินาทีเพื่อทุบขึ้นรูปได้อย่างแม่นยำ เพื่อทำให้ได้โครงสร้างที่แข็งแกร่งกว่าเดิม และประหยัดเนื้อวัสดุมากที่สุด
***จัดการความร้อนให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ด้วยหัวใจสำคัญของ iPhone 17 Pro คือชิปประมวลผล A19 Pro ที่อยู่ภายใน ทำให้ทีมงานต้องวางแผนในการนำสถาปัตยกรรมระบายความร้อนแบบใหม่มาใช้งาน ตั้งแต่ตำแหน่งของการวางชิป A19 Pro ไว้ตรงกลาง เพื่อให้สามารถกระจายความร้อนได้สม่ำเสมอทั่วเครื่อง พร้อมกับนำแผ่นระบายความร้อน (Vapor Chamber) มาใช้งานเป็นครั้งแรกสำหรับ iPhone
รายละเอียดภายในของ Vapor Chamber คือการนำวัสดุทองแดงรีไซเคิล 100% ที่ภายในมีน้ำที่ปราศจากไอออนอยู่ เมื่อได้รับความร้อนน้ำจะระเหย และเคลื่อนที่ไปยังส่วนที่เย็นกว่าของแผ่นระบายความร้อน จากนั้นควบแน่นกลับมาเป็นน้ำ และย้อนกลับไประบายความร้อนบริเวณชิปต่อเนื่อง
ในจุดนี้ แอปเปิล ได้มีการเชื่อม Vapor Chamber เข้ากับโครงเครื่องอะลูมิเนียมด้วยเลเซอร์โดยตรง ทำให้ความร้อนสามารถถ่ายเทผ่านโลหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหนือกว่าการใช้กาว หรือเทปที่ใช้งานกันทั่วไป รวมถึงยังช่วยนำความร้อนไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำด้วย
“จากข้อมูลเหล่านี้ จึงทำให้วัสดุอะลูมิเนียมกลายเป็นส่วนสำคัญ เพราะสามารถระบายความร้อนไปสู่ภายนอกได้ ทำให้มอบประสิทธิภาพในการทำงานที่ต่อเนื่องดีขึ้นถึง 40% ใน iPhone รุ่น Pro ของปีนี้” ริช กล่าวย้ำ
***ก้าวข้ามนิยามความ ‘เป็นไปไม่ได้’
วิล ยังอธิบายต่อเนื่องถึงการพัฒนา iPhone Air ที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะนี่คือ iPhone ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถือชิ้นส่วนแห่งอนาคต ที่ทั้งบาง และเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังได้ประสิทธิภาพของการทำงาน และแบตเตอรีที่ใช้งานได้ตลอดวัน
“ส่วนสำคัญในการออกแบบ iPhone Air คือการเลือกใช้วัสดุ ไทเทเนียมเกรด 5 ที่เป็นอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักสูงที่สุด ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรง และทนทาน ซึ่ง iPhone Air ทนทานกว่า iPhone รุ่นก่อนๆ ทั้งหมด แม้ว่าจะใช้ไทเทเนียมที่มาจากการรีไซเคิลถึง 80% สูงสุดเท่าที่เคยมีมา”
การนำไทเทเนียมนั้นมาขัดเงาจนเหมือนกระจก และการเลือกใช้สีที่เพิ่มความรู้สึกเบาสบายให้แก่ดีไซน์ ผสมผสานกับการใช้แผ่นโลหะผสมอะลูมิเนียมมาช่วยกระจายความร้อน ทำให้น้ำหนักของ iPhone Air อยู่ที่ 165 กรัม และกลายเป็น iPhone ที่บาง และเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เรื่องของการออกแบบเท่านั้น ที่ทำให้ iPhone Air บาง และเบา ยังมีการปรับปรุงเทคนิคในการผลิตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB-C ที่ใช้การพิมพ์ 3 มิติ ด้วยการยิงเลเซอร์เข้าไปหลอมผงไทเทเนียมลงบนเฟรมเครื่องโดยตรง พร้อมกับปรับปรุงฐานกล้องที่ขึ้นรูปใหม่ (Camera Plateau) เพิ่มพื้นที่ว่าง สำหรับวางชิป และโมดูลกล้องให้ซ้อนกันได้ รวมถึงการตัดถาดซิมเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้แบตเตอรี
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือการเลือกนำกระจกเซรามิก (Ceramic Shield) มาใช้งานที่ด้านหลังตัวเครื่องทั้ง iPhone 17 Pro และ iPhone Air เพื่อเสริมในเรื่องของความทนทานเป็นครั้งแรก ทำให้ทนการแตกร้าวได้เพิ่มขึ้น 4 เท่า พร้อมกับเพิ่มความแข็งแรงของกระจกหน้าจอเซรามิก รุ่นที่ 2 (Ceramic Shield 2)
สำหรับ Ceramic Shield 2 ได้เพิ่มการเคลือบเซรามิกซิลิคอนออกซีไนไตรด์ที่ Apple ออกแบบขึ้น ซึ่งยึดติดในระดับอะตอม ทำให้ทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า รวมถึงเพิ่มการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน 7 ชั้นเพื่อลดแสง ทำให้อ่านหน้าจอง่ายขึ้นในที่แดดจ้า
ริช กล่าวทิ้งท้ายว่า พื้นฐานของการออกแบบ iPhone คือต้องการให้ผู้บริโภคใช้งานได้ต่อเนื่องหลายปี และช่วยรักษามูลค่าเมื่อพร้อมที่จะอัปเกรดก็สามารถนำเครื่องไปเทรดอินได้ราคาดี ทำให้การอัปเกรดมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น


