แกร็บ เผยโครงการ “คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สะท้อนผ่านยอดสั่งอาหารเดลิเวอรีจากโครงการคนละครึ่งพลัสที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจนทะลุ 1 ล้านออเดอร์นับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ
ขณะเดียวกันยังช่วยดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปกติ โดยร้านที่ขายดีที่สุดมียอดเติบโตมากถึง 18 เท่า พบอินไซต์ผู้บริโภคนิยมใช้คนละครึ่งพลัสสั่งอาหารในมื้อเที่ยงมากที่สุด โดยมียอดสั่งเฉลี่ยต่อออเดอร์ประมาณ 80 - 120 บาท โดยเฉพาะอาหารจานเดียวอย่างส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว และไก่ทอด ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ขณะที่ชาไทยยังคงยืนหนึ่งเครื่องดื่มยอดนิยม และคนกรุงเทพฯ ครองแชมป์การใช้คนละครึ่งพลัสผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมากที่สุด รองลงมาคือ ชลบุรี ขอนแก่น โคราช และเชียงใหม่
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสในครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามทั้งจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจร้านอาหาร ไม่เฉพาะแต่การใช้จ่ายที่หน้าร้าน แต่ยังรวมถึงการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรีด้วย
"ในฐานะแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีชั้นนำ แกร็บร่วมส่งเสริมนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่โดยให้การสนับสนุนทั้งผู้ประกอบการ ร้านอาหารและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น การคิด GP ในอัตราพิเศษเพียง 7% จัดส่งฟรี 5 กิโลเมตร รวมถึงการให้ส่วนลดสูงสุดถึง 3,000 บาทสำหรับผู้บริโภคที่สั่งอาหารผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส
โดยในเฟสนี้มีร้านอาหารที่ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ กับแกร็บเพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กและสตรีตฟู้ด ขณะเดียวกันเราได้เห็นความคึกคักของฝั่งผู้บริโภคนับตั้งแต่วันแรก สะท้อนผ่านการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยมีผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสกับแกร็บจนมากกว่า 1 ล้านออเดอร์ในช่วงเวลาไม่กี่วันนับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยดันยอดขายให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สะท้อนความสำเร็จของนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลด้วย
นอกจากนี้ แกร็บ ยังเผยอินไซต์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรีผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในช่วง 5 วันแรก อาทิ
- คนส่วนใหญ่นิยมสั่งอาหารเดลิเวอรีผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสด้วยมูลค่าประมาณ 80 - 120 บาทต่อออเดอร์ รองลงมาคือมูลค่า 120 - 150 บาทต่อออเดอร์
- ออเดอร์ที่มีมูลค่าสูงสุด คือ เมนูสเต็กเนื้อ จากร้านเฮงเจริญ บุชเชอรี่ ในย่านลาดพร้าว ด้วยมูลค่ารวม 2,935 บาท
- มื้อกลางวันคือช่วงเวลาที่มีคนสั่งอาหารเดลิเวอรีผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด โดยเฉพาะระหว่างเวลา 11.00 - 12.00 น.
- โครงการคนละครึ่งพลัสช่วยกระตุ้นให้มีความถี่ในการสั่งอาหารเดลิเวอรีเพิ่มขึ้น โดยพบว่า มีคนสั่งอาหารตั้งแต่ 2 ออเดอร์ต่อวันขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปกติ
- เมนูอาหารที่คนนิยมสั่งผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด คือ ส้มตำ รองลงมาคือ ก๋วยเตี๋ยว และ ไก่ทอด ขณะที่ ชาไทย ยืนหนึ่งในฐานะเครื่องดื่มยอดนิยม ตามมาด้วย ชาเขียวหรือมัทฉะ และโกโก้เย็น
- ร้านอาหารที่มียอดขายเติบโตสูงสุดจากโครงการคนละครึ่งพลัส คือ “ร้านอยู่นี่ ตามสั่ง ข้าวผัด สเต็ก” ในกรุงเทพฯ โดยมียอดขายเติบโตถึง 18 เท่าจากช่วงปกติ จากยอดขายหลักร้อยกลายเป็นหลักหมื่นต่อวัน
- ขณะที่ “ร้านพาสต้า บ่?” ในย่านจรัญ 35 ทำสถิติสร้างยอดขายสูงที่สุดจากการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าครึ่งแสนบาท
- 5 จังหวัดที่มีการสั่งอาหารเดลิเวอรีผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น โคราช และเชียงใหม่
“โครงการคนละครึ่งพลัสไม่เพียงช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มผู้บริโภค และสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นให้กับร้านอาหาร แต่ยังส่งผลเชิงบวกไปถึงคนในอีโคซิสเต็มอย่างไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหาร ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 13% นับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องยังได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทั้งนี้ แกร็บจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัสในเฟสต่อๆ ไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน”


