กลุ่มสามารถ (SAMART) เผย 9 เดือนปี 2568 คว้างานในมือ (Backlog) มูลค่าเกือบ 18,000 ล้านบาท ลุ้นสิ้นเข้าร่วมประมูลโปรเจกต์เพิ่มทะลุ 20,000 ล้านบาท เชื่อทั้งปีพลิกกลับมาทำกำไร ส่วนรายได้ทั้งปีแตะระดับ 1.1 - 1.15 หมื่นล้านบาท โดยมีธุรกิจในเครืออย่าง SAMTEL, SAV และ TEDA เป็นธุรกิจสำคัญในการเติบโต
วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร และพัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือน แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและความล่าช้าของงบประมาณภาครัฐ แต่ทุกสายธุรกิจยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดี
โดยปัจจุบันในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีรายได้รวมแล้วกว่า 7,700 ล้านบาท และมี Backlog ทั้งกลุ่มสูงถึงประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของการกลับมาอย่างแข็งแกร่ง ส่วนในปลายปีนี้คาดว่าจะเข้าร่วมประมูลโครงการเพิ่มเติมอีก ทำให้ปิดปีสามารถมีงานในมือกว่า 20,000 ล้านบาท
ในส่วนของสายธุรกิจ Digital ICT Solutions (SAMTEL) ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา SAMTEL ได้เซ็นสัญญาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท โครงการสำคัญคือการจัดหาและดูแลรักษาระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้า (Utility Platform UTP) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่งผลให้ปัจจุบันมี Backlog ในมือสูงกว่า 8,000 ล้านบาท
ขณะที่สายธุรกิจ Utilities & Transportations บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (SAV) ผู้ให้บริการจัดการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วง 9 เดือนแรกมีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แม้ในช่วงแรกของสถานการณ์ชายแดนจะได้รับผลกระทบระยะสั้น ทำให้เที่ยวบินผ่านน่านฟ้า (Overflight) ลดลงประมาณ 20% เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ แต่สถานการณ์กลับพลิกฟื้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากพายุในแถบเวียดนาม ทำให้สายการบินต่างๆ ต้องเปลี่ยนเส้นทางมาบินผ่านน่านฟ้ากัมพูชาแทน ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินกลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติ และช่วยชดเชยรายได้ที่หายไปได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามยังส่งผลบวกโดยตรง เนื่องจากเที่ยวบินจากยุโรปและจีนส่วนใหญ่ต้องบินผ่านน่านฟ้ากัมพูชา ซึ่งทำให้ SAV รับรู้รายได้เพิ่มเติมในส่วนของการบินผ่านน่านฟ้า ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจอยู่แล้ว ในขณะที่การบินขึ้นลงในประเทศของกัมพูชามีสัดส่วนที่น้อยมากๆ อยู่แล้ว
อีกบริษัทที่น่าจับมาคือ บริษัท เทด้า จำกัด (TEDA) ในธุรกิจก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูงครบวงจร ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมี Backlog สูงกว่า 3,800 ล้านบาท และล่าสุดเพิ่งได้รับงานใหม่มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท ในหลายพื้นที่ เช่น นครศรีธรรมราช ขนอม และพัทลุง ซึ่งได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกระแสการลงทุน Data Center ที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล
ปิดท้ายที่สายธุรกิจ Digital Communications (SDC) พลิกกลับมามีกำไรได้สำเร็จ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรแล้ว 33 ล้านบาท จากรายได้ค่า Air Time ของทรังก์เรดิโอ (Digital Trunked Radio System) ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี พร้อมกับเปิดเผยว่าในปีหน้าจะมีบริการเกี่ยวกับ AI และด้าน ESG เพิ่มเติม
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 กลุ่มสามารถคาดการณ์ว่าจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจการบิน (SAV) และจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆ ของ SAMTEL และ TEDA นอกจากนี้ ยังมีงานรอการประมูลอีกเกือบ 9,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ Backlog ทั้งกลุ่มเมื่อสิ้นปีทะลุระดับ 20,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน
"ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของกลุ่ม SAMART ที่สามารถกลับมามีกำไรแบบ Turnaround 100% อย่างเต็มตัว หลังจากที่เราได้ปรับโครงสร้างธุรกิจและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อบริษัทลูกมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีมาถึงบริษัทแม่ด้วยเช่นกัน" นายวัฒน์ชัยกล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ผู้บริหารยังได้เปิดเผยว่า TEDA มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นมาเป็น "พระเอก" ของกลุ่มในอนาคต โดยเฉพาะในสายธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงาน ขณะที่ SAV ก็มีแผนจะขยายธุรกิจนอกเหนือจากการเป็นเพียง Holding Company โดยเตรียมเข้าประมูลงานที่เกี่ยวข้องกับการบินในประเทศไทยโดยตรง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต