'ไชยชนก' ลั่นกลางเวที ASEAN-UNESCO เตรียมยกระดับกฎหมายไซเบอร์ ปลุก White Hacker ไทยเปิดศึกโต้กลับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามแดน ดันตั้งหน่วย Cyber Fraud Agency แฮ็ก-ล่า-สกัดภัยออนไลน์เชิงรุก ลั่น ไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่ถึงเวลาต้องสู้กลับ
เมื่อวันที่ 21 ต.ค.68 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ASEAN-UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms ว่า หลังการหารือร่วมกับรัฐบาลเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวงดีอีเตรียมเดินหน้าดำเนินการเชิงรุกในหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายสำคัญอย่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ให้สามารถตอบโต้ภัยไซเบอร์ได้ทันสถานการณ์ คาดว่าร่างแรกจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2568
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการปรับปรุงกฎหมาย คือ การเปิดทางให้มีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจไซเบอร์ ลักษณะเดียวกับ Cyber Fraud Agency ที่หลายประเทศนำมาใช้ ซึ่งจะเป็นกลไกกลางในการรวม White Hacker หรือผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ของไทยเข้ามาเป็นกำลังหลัก ทำหน้าที่ตอบโต้ภัยคุกคามเชิงรุก เช่น การแฮ็กกลับ หรือปล่อยมัลแวร์สกัดระบบของแก๊งสแกมเมอร์ โดยเฉพาะศูนย์กลางเครือข่ายที่ตั้งอยู่นอกประเทศ
รูปแบบจะยึดตาม โมเดลญี่ปุ่น ซึ่งมีกฎหมายรองรับให้รัฐสามารถใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น Fake Infrastructure หรือ Malware Sinkhole เข้าสกัดเครือข่ายอาชญากรรมแบบเฉพาะจุด โดยทุกขั้นตอนจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ใครก็แฮ็กได้ จะต้องมี คณะกรรมการอนุมัติภารกิจ มีเป้าหมายจำเพาะ และต้องยุติภารกิจเมื่อบรรลุผล ซึ่งรัฐมนตรีดีอีระบุชัดว่า "การดำเนินการทางไซเบอร์ไม่มีพรมแดน แต่ก็มีความอ่อนไหวอยู่มาก ซึ่งกำลังอยู่ในการศึกษาและออกแบบกฎหมายให้เหมาะสม เพราะเราไม่ไหวแล้ว ต้องโจมตีเชิงรุก"
อย่างไรก็ดี จากโครงสร้างกฎหมายเดิมยังจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล ต้องรอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงเริ่มกระบวนการสืบสวน แต่ในเวอร์ชันใหม่ของ พ.ร.ก. ดีอีจะขออำนาจให้สามารถใช้ฐานข้อมูลจากโอเปอเรเตอร์และธนาคาร มาครอสกับ IP Address ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งก่ออาชญากรรมไซเบอร์ หากพบข้อมูลยืนยันชัด หน่วยเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นจะมีอำนาจเข้าทำการตอบโต้เฉพาะจุด เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใช้สนับสนุนการฉ้อโกงออนไลน์
ในด้านโครงสร้างการบังคับใช้ กระทรวงดีอีจะพิจารณาว่า หน่วยงานใหม่นี้จะอยู่ภายใต้กองกำลังไซเบอร์แห่งชาติ (MGHA) หรือขึ้นตรงต่อกระทรวงดีอี ซึ่งยังอยู่ระหว่างการออกแบบองค์กร โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า จะต้องใช้ศักยภาพของเด็กไทย ที่มีทักษะด้านไซเบอร์อย่างเต็มที่ และให้ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายระหว่างปฏิบัติภารกิจ
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีดีอียังกล่าวถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้กระทรวงดีอีเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามสแกมเมอร์ ตามแนวทางหลัก 3 ด้าน ดังนี้
1.มาตรการเชิงรุก: ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือของเครือข่ายสแกมเมอร์ทันที พร้อมลงโทษอย่างเด็ดขาดกับผู้ให้การสนับสนุนหรือปล่อยปละละเลย
2.บูรณาการข้อมูล: ร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ศูนย์ AOC 1441, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลกลาง วิเคราะห์แนวโน้มอาชญากรรมออนไลน์ และติดตามเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิดแบบเรียลไทม์ โดยจะแสดงผลผ่าน Dashboard ที่ใช้เตือนภัยและสนับสนุนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
3.การปรับปรุงกฎหมาย: ศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งหน่วยเฉพาะด้าน เช่น Cyber Fraud Agency และเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำความผิดให้รุนแรงขึ้น เพื่อให้ทันต่อวิวัฒนาการของอาชญากรรมไซเบอร์
ขณะเดียวกัน นายไชยชนก ยังกล่าวถึงการเตรียมร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศ Anti-Scam Convention ที่เวียดนามในปลายเดือน ต.ค.2568 โดยประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้นำเสนอแนวทางใหม่ของการปรับปรุง พ.ร.ก. เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ว่า พร้อมเดินหน้าตอบโต้ภัยคุกคามข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง ทั้งนี้ หลังลงนามประเทศไทยจะต้องดำเนินการแสดงสัตยาบัน และปรับกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้จริง หากประเทศสมาชิกครบ 40 ประเทศ
ส่วนในประเด็นการเก็บภาษีจากแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น Facebook , TikTok หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รัฐมนตรีดีอียอมรับว่า แม้จะมีความพยายามจากหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อจำกัดของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความคืบหน้ามากขึ้น โดยแพลตฟอร์มบางแห่งเริ่มแสดงเจตจำนงให้ความร่วมมือ และสมาคมอีคอมเมิร์ซในไทยก็ได้ยื่นข้อเสนอ เช่น การลดค่าจีพี ผ่านกลไกทางเลือก เช่น ลดต้นทุน หรือเพิ่มรายได้ฝั่งผู้ขาย