ซิสโก้ (Cisco) เผยผลสำรวจล่าสุดสะท้อนความเหลื่อมล้ำของการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปปรับใช้ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิก พบ"หนี้ AI" กำลังเป็นระเบิดเวลานับถอยหลังโครงสร้างพื้นฐานองค์กรใช้การไม่ได้ ชี้ความต้องการพุ่งสูงแต่ความพร้อมขององค์กรทั่วโลกยังคงต่ำ โดย 13% เท่านั้นที่พร้อมรบ มองไทย-อินโดนีเซียโดดเด่นเพราะมีองค์กรเกิน 20% เป็นกลุ่มบริษัทที่ปรับระบบนำ AI ใช้เสริมธุรกิจสม่ำเสมอ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกและประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ
ไซมอน มิเซลี กรรมการผู้จัดการ โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และเอไอ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่ บริษัท ซิสโก้ กล่าวถึงรายงานดัชนีความพร้อมด้าน AI ฉบับล่าสุด ที่เผยความเหลื่อมล้ำจากกลุ่ม "Pace Setters" หรือกลุ่มองค์กรขนาดเล็กที่อัปเกรดระบบสม่ำเสมอ และกำลังโกยรายได้ทิ้งห่างคู่แข่งที่ติดกับดัก "หนี้โครงสร้างพื้นฐาน AI" หรือ AI Infrastructure Debt ว่าเป็นสถานการณ์ที่มีความอันตราย โดยหนี้โครงสร้างพื้นฐาน AI อาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าหนี้ทางเทคนิคใด ๆ ที่โลกเคยเห็นมาในอดีต เนื่องจากความเร็วในการก้าวหน้าของ AI
"หนี้ทางเทคนิคของยุค AI มีลักษณะที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากจะสะสมอย่างเงียบ ๆ จากการเลือกทางลัด การพลาดการอัปเกรด และการละเลยองค์ประกอบพื้นฐาน หากปล่อยไว้ จะส่งผลให้การพัฒนานวัตกรรมช้าลง ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น และมูลค่าจากการลงทุน AI ถูกกัดกร่อนในที่สุด"
การสำรวจดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Readiness Index) ฉบับที่ 3 ของ Cisco พบว่าแม้การลงทุนและความทะเยอทะยานขององค์กรในการนำ AI มาใช้จะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคาดหวังในผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สามารถแสดงให้เห็นได้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ แต่ความเป็นจริงกลับสวนทางกัน เนื่องจากมีองค์กรที่สำรวจเพียง 13% เท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองพร้อมอย่างแท้จริงในการรับมือกับการปฏิวัติ AI แสดงว่าความเร่งด่วนและความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้เปลี่ยนเป็นความพร้อมที่จะนำการลงทุนนั้นไปสร้างมูลค่าได้
ผลสำรวจชี้ว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างความต้องการที่สูงและความพร้อมที่ต่ำนี้เองที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าที่องค์กรจะสามารถเก็บเกี่ยวจาก AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ การสำรวจพบว่าองค์กรถึง 84% กำลังวางแผนที่จะปรับใช้ AI Agent ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับทีมงานที่เป็นมนุษย์ภายใน 12 เดือนข้างหน้า และ Agent เหล่านี้จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน AI จากการตอบสนองคำสั่งเป็นการทำงานต่อเนื่องตลอดเวลา (Autonomous and Always-On Demand) อย่างไรก็ตาม มีองค์กรเพียง 16% เท่านั้นที่กล่าวว่าเครือข่ายของบริษัทสามารถปรับให้เข้ากับลักษณะที่มีความต้องการสูงของปริมาณงาน AI ได้อย่างเต็มที่ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทยอมรับว่าไม่สามารถปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลและความซับซ้อนที่ Agent จะนำมาได้
สำหรับไทย 98% ขององค์กรในประเทศไทยวางแผนนำ AI agents มาใช้งาน และเกือบ 31% คาดว่า AI Agent จะทำงานร่วมกับพนักงานในปี 2569 อย่างไรก็ตาม 29% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยระบุว่าเครือข่ายของบริษัทไม่สามารถรองรับความซับซ้อน หรือปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้ และมีเพียง 27% ที่มองว่าเครือข่ายของบริษัทมีความยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้
ไซมอนเตือนว่าการปรับใช้ Agent จะเป็นสุดยอดการทดสอบที่จะเปิดเผยจุดอ่อนในโครงสร้างพื้นฐานในองค์กร ทั้งการวางแผน และการรักษาความปลอดภัยที่ควรต้องครอบคลุม ซึ่งหากมองที่ตลาดโลก ข้อมูลน่าตกใจพบว่ามีเพียง 31% ของบริษัทเท่านั้นที่มีมาตรการพื้นฐานด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอสำหรับการปรับใช้ AI และน้อยกว่า 1 ใน 3 ขององค์กรพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะจัดการกับความเสี่ยงเฉพาะของ AI เช่น การโจมตีด้วย Prompt หรือภัยคุกคามจาก Agent ที่หลุดการควบคุม
องค์กรที่จัดการความเสี่ยงและมี AI ที่ปลอดภัยแล้วนี้ถูกตั้งชื่อว่า "Pace Setters" ซึ่งซิสโก้นิยามว่าเป็นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจากค่าเฉลี่ยโลกที่มีอยู่ 13% การสำรวจพบว่าไทยมี Pace Setters สูงกว่า คิดเป็นประมาณ 21% ขององค์กรที่สำรวจในประเทศ
ซิสโก้พบว่าการกำหนด Use Case อย่างละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจทำให้ 95% ของ Pace Setters สามารถระบุและวัดผลกระทบของ AI ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่องค์กรโดยรวมมีเพียงประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีวิธีการวัดผลที่ชัดเจน กลุ่ม Pace Setters ยังสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่เหนือกว่า โดยมีเพิ่มรายได้ และความสามารถในการทำกำไรกว่า 25% เมื่อเทียบกับบริษัทโดยรวม
การสำรวจนี้ยังสะท้อนสัญญาณน่าจับตาในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ที่แสดงความพร้อมในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยอินโดนีเซียมีอัตราความพร้อมที่ 23% และประเทศไทยอยู่ที่ 21% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในบางประเทศที่พัฒนาแล้ว และชี้ให้เห็นว่าองค์กรในประเทศกำลังพัฒนาอาจมอง AI เป็นโอกาสหรือความจำเป็นที่แข็งแกร่งกว่าในการก้าวกระโดด
การสำรวจพบว่า "ฮ่องกง" มีความพร้อมต่ำที่สุดในบรรดาตลาดที่สำรวจทั่วโลก โดยมีองค์กรเพียง 2% เท่านั้นที่เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
ไซมอนชี้ว่าซิสโก้ตระหนักถึงความจำเป็นในการลดช่องว่างความพร้อมนี้ และได้ปรับเปลี่ยนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อรองรับปริมาณงาน AI โดยที่ผ่านมาได้นำเสนอโซลูชันที่สำคัญ ทั้ง Cisco AI Canvas ซึ่งใช้ AI เพื่อลดความซับซ้อนในการสร้างและจัดการโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง Secure AI Factory ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA รวมถึงโซลูชันด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งทำตลาดอุปกรณ์เครือข่ายความเร็วสูง เพื่อรองรับความต้องการของ AI Workloads
ที่สุดแล้ว ซิสโก้ทิ้งท้ายให้บริษัททั่วโลกตามรอยกลุ่ม Pace Setters ไป ด้วยการกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจน การวัดผลที่แม่นยำ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI ตั้งแต่วันแรก เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนใน AI จะไม่กลายเป็นเพียงความตื่นเต้นที่ก่อให้เกิด "หนี้" ในอนาคต.