“นี่คือช่วงเวลาชี้ชะตาเศรษฐกิจดิจิทัลไทย เพราะ AI ไม่ใช่อนาคตอันไกลอีกต่อไป แต่คือรากฐานความได้เปรียบในทศวรรษหน้า” คือเสียงสะท้อนที่เห็นตรงกันจากบิ๊กเทคระดับโลก ที่รวมตัวในเวที ‘Digital & AI Intelligence Unleashed’ ซึ่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น จัดขึ้นเป็นไฮไลท์ของงาน CP Innovation Exposition and Symposium 2025 ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสร้างอนาคตเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า – Innovate the Future for a Better Tomorrow” โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เพื่อชี้แนวทางให้องค์กรไทยเร่งก้าวสู่ยุค AI ภายใน 3 – 5 ปี
เทรนด์ AI โลก VS ความพร้อมไทย
คุณอภิชาต อรุณคุณารักษ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานเทคโนโลยี จาก Accenture Thailand ได้กล่าวถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงในยุคที่ AI สามารถทำงานโดยเป็นอิสระมากยิ่งขึ้นว่า “แม้หลายคนกังวลว่าจะถูกแทนที่ แต่ข้อมูลจาก World Economic Forum ชี้ชัดว่า AI จะสร้างงานใหม่ราว 170 ล้านตำแหน่ง ขณะที่งานเดิมหายไปเพียง 90 ล้านตำแหน่ง คำถามคือ เราจะเรียนรู้งานใหม่ หรือยอมถูกแทนที่? คนทำงานต้องใช้ AI ให้เป็น เพื่อเสริมศักยภาพและก้าวเป็นผู้นำ”
ในโอกาสนี้ คุณอภิชาตยังได้เผยเทรนด์ใหญ่ของ AI ในอีก 5 ปีข้างหน้า ดังนี้
1. Binary Big Bang – ใครๆ ก็สร้างซอฟต์แวร์ได้ ปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดด้วยตัวเอง
2. Your face in the future – AI ต้องมีอัตลักษณ์และแบรนด์ของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างจากบริการอื่นๆ ที่มีความสามารถและหน้าตาคล้ายคลึงกัน
3. When LMs Get Their Bodies – โมเดลภาษาเริ่มเชื่อมกับโลกจริงผ่านหุ่นยนต์และเซนเซอร์
4. The New Learning Loop – คนกับ AI เรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ในด้านความพร้อมของประเทศไทย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) เผยว่า “จากผลสำรวจองค์กรไทยกว่า 600 แห่ง พบว่ามีเพียง 15 - 17% ที่นำ AI ไปใช้จริง โดยจุดอ่อนสำคัญคือขาดทักษะของบุคลากรและโครงสร้างเทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับทิศทางของแผน AI แห่งชาติที่เน้นไปที่การเตรียมความพร้อมของคน (Readiness) และการนำไปใช้จริง (Adoption) โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศ AI เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเสริมสร้างระบบนิเวศพร้อมสำหรับก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักด้าน AI ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใน 2 ปีข้างหน้านี้ เราจะสร้าง Data Bank ภาครัฐให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ร่วมกับภาคเอกชน ตั้งเป้าผลิตบุคลากร AI กว่า 30,000 คน รวมถึงสร้าง Center of Excellence (COE) ตั้งแต่การศึกษาไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีภาคเอกชนร่วมเป็นเจ้าภาพ เพื่อขับเคลื่อน AI ของประเทศไทยไปพร้อมกัน”
Google, Microsoft, AWS แนะก้าวสำคัญของไทย สู่ AI เครื่องมือที่กำหนดนิยามใหม่ของการทำธุรกิจ
ในช่วงแรกของการเปิดเวทีเสวนา ภายใต้หัวข้อ “Shaping the Country in the Next Decade” นับเป็นการรวบรวมผู้นำจาก Big Tech ระดับโลกอย่าง Google, Microsoft และ AWS ซึ่งแต่ละท่านต่างแชร์มุมมองถึงความเปลี่ยนแปลงที่ AI กำลังขับเคลื่อนให้เกิดกับกระบวนการดำเนินธุรกิจในทุกด้าน โดย คุณอรรณพ ศิริติกุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของกูเกิล คลาวด์ กล่าวว่า “เรากำลังก้าวสู่ยุคที่ใส่ ‘ความฉลาด’ ให้ข้อมูลและเทคโนโลยี เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตมีการใช้ AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในแอปฯ แนะนำสินค้าที่เข้ากัน และของที่จำเป็นที่ต้องซื้อ ทำให้ร้าน “รู้ใจ” ลูกค้ามากขึ้น และในวันนี้เรามี “เครื่องมือ” พร้อมมาก ไม่ว่าจะโมเดล AI อย่าง Gemini แพลตฟอร์มสำหรับสร้างและต่อยอดซึ่งเราเปิดเป็น open standard และ open to integrate หลายส่วน และเร็วๆ นี้จะมีการลงทุน Google Cloud Region ที่ประเทศไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย ทั้งเรื่องของการลดความหน่วง (latency) และเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้ทัดเทียมระดับโลก”
คุณวสุพล ธารกกาญจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวถึงแก่นของการเปลี่ยนผ่านในยุค AI ว่า “หัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในยุค AI มี 4 ด้านหลัก 1. พนักงาน – AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ซึ่งหลายองค์กรทำแล้ว 2. ลูกค้า – ลูกค้าจะมีผู้ช่วย AI ที่ฉลาดระดับทีมงานมืออาชีพ พูดได้มากกว่า 100 ภาษาและพร้อมปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง ต้นทุนทางธุรกิจต่อธุรกรรมต่ำมาก สิ่งนี้จะมีผลกระทบมหาศาล 3. กระบวนการทำงาน – AI ช่วยลดงานที่ต้องทำซ้ำ ลดข้อผิดพลาด เร่งผลลัพธ์ และ 4. นวัตกรรม – AI ช่วยลดระยะเวลา R&D บนวงจรนวัตกรรมออกสู่ตลาด ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ AI ต้องเชื่อมกับเครื่องมือจริงที่คนใช้อยู่แล้ว เช่น Microsoft 365 เพื่อให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นทันที และเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นทั้งความเร็ว ต้นทุน และคุณภาพการตัดสินใจที่ดีขึ้นพร้อมกัน”
ด้าน คุณอภิเชษฐ์ ชัยเพ็ชร ผู้จัดการฝ่ายสถาปัตยกรรมโซลูชัน อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “AI จะเข้ามายกระดับประสบการณ์ลูกค้าแทบทุกจุด ซึ่งหัวใจสำคัญและหลักคิดของ Amazon ที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านในยุค AI คือ เราเริ่มทุกการตัดสินใจด้วยการคำนึงถึง “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า” (Customer Obsession) และการตัดสินใจอย่างรวดเร็วผ่านหลักการ Two-Way Door ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจส่วนใหญ่สามารถย้อนกลับได้ ทำให้เราสามารถตัดสินใจและลองทำได้ หากไม่เวิร์กก็ปรับใหม่ได้ โดยไม่ต้องรอการอนุมัติหลายขั้นตอน แต่ถ้าเป็นการตัดสินใจแบบ One-Way Door ที่ย้อนกลับไม่ได้ เราจะค่อย ๆ วิเคราะห์ให้รอบด้านอย่างรอบคอบ วิธีนี้ช่วยให้องค์กรทำงานได้เร็ว มีความยืดหยุ่น และลดความเสี่ยงในระบบได้ด้วย”
มุมมอง Huawei, Tencent และ BytePlus ต่อคุณค่าที่แท้จริงของ AI
ในยุคที่ทุกบริษัทต่างทุ่มเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากด้าน AI ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า AI จะให้ผลตอบแทน (Return on Investment - ROI) และสร้าง “คุณค่าที่แท้จริง” ได้อย่างไร และในเวทีเสวนาช่วงที่สอง หัวข้อ “Turning Innovation into Real Value” ทาง ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์, กรรมการผู้จัดการ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) ได้เผยมุมมองว่า “AI เป็น เกมที่มีต้นทุนสูง หากพูดถึงผลตอบแทนโดยตรง อาจจะยังไม่เห็นคำตอบที่ชัดเจนในวันนี้ แต่สิ่งที่ผู้บริหารควรมองคือ AI สามารถสร้าง ‘คุณค่าที่แท้จริง’ ได้ใน 4 มิติหลัก ได้แก่:
1. รายได้ (Revenue Growth): AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่คือ เครื่องมือสร้างความแตกต่าง ที่ช่วยให้องค์กรส่งมอบประสบการณ์เหนือคู่แข่งและเปิดโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2. ต้นทุน (Cost Efficiency): โลกกำลังเข้าสู่ยุค Multi-Cloud และ Multi-AI Platforms องค์กรที่เริ่มวางกลยุทธ์บริหารจัดการตั้งแต่วันนี้ จะสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และลดการพึ่งพาเพียงแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงทางธุรกิจ
3. การดำเนินงาน (Operational Excellence): AI เป็นตัวดึงดูดและเสริมศักยภาพบุคลากรที่มีความสามารถสูง (talents) แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถวัดค่าเป็นตัวเงินได้โดยตรง แต่การมีทีมงานที่เชี่ยวชาญและขับเคลื่อนเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องคือ ต้นทุนเชิงกลยุทธ์ ที่สร้างความได้เปรียบในระยะยาว
4. ความยั่งยืน (Sustainability): ศูนย์ข้อมูลที่ใช้ AI ต้องการการประมวลผลมหาศาล ซึ่งย่อมหมายถึงการใช้พลังงานที่สูงเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ธุรกิจ Digital Power ของ Huawei มุ่งลงทุนกว่า 50% ไปที่โซลูชันด้านพลังงานสีเขียวที่มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ AI เติบโตเคียงคู่ไปกับความยั่งยืนของโลก
ดร.ชวพล ยังกล่าวเสริมว่า “ROI ของ AI ไม่ได้วัดเพียงผลลัพธ์ทางการเงินในระยะสั้น แต่คือการลงทุนในความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ขององค์กรในระยะยาว ประเทศไทยเองกำลังมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น AI Hub ของอาเซียน หากทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดย Huawei พร้อมเป็นพันธมิตรสำคัญในการเดินหน้าสู่อนาคตนี้”
คุณจิมมี่ เฉิน รองประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ชี้ว่า “วิธีเดียวที่จะทำให้การลงทุนด้าน AI คุ้มค่าได้จริง คือ การโฟกัสอย่างไม่หยุดยั้งกับคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า ที่ Tencent เรามองเห็นทั้งโอกาสและความท้าทายไปพร้อมกัน ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจเกมของเราเติบโตประมาณ 24% และธุรกิจโฆษณาเติบโตประมาณ 20% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำ AI มาใช้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการวิดีโอ ความบันเทิง และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของเราสามารถใช้บริการเหล่านี้ได้แบบฟรีๆ เราจึงไม่เห็นการสร้างรายได้โดยตรงจากบริการเหล่านี้เสมอไป แต่ประโยชน์ของ AI จะสะท้อนออกมาในรูปแบบอื่น เช่น การสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเกมและโฆษณาที่สร้างรายได้จริง”
ส่วนคุณหยาน เกา ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไบต์พลัส มองความสำเร็จผ่านเลนส์ในอีกแง่มุมหนึ่ง โดยกล่าวปิดท้ายว่า “เราเชื่อว่า การวัดความสำเร็จของ AI ไม่ได้วัดเพียงแค่รายได้หรือกำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ระดับการนำไปใช้งานจริง (Adoption) สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้ AI เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย และองค์กรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ความสำเร็จที่วัดผลได้ของเราจึงอยู่ที่ปริมาณการใช้งานจริงและอัตราการนำไปใช้ (adoption rate) ในแต่ละวัน แตกต่างจากวิธีคิดของอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเล็กน้อย แต่สำหรับเราวิสัยทัศน์นี้ชัดเจน และนี่คือสิ่งที่จะทำให้ AI เติบโตอย่างยั่งยืน”