คำพิพากษาศาลปกครองล่าสุดในคดีการควบรวม TRUE–DTAC ที่ยกฟ้องสภาองค์กรของผู้บริโภค ถือเป็นหลักกฎหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่าการควบรวมกิจการสามารถทำได้ หากเป็นไปตามกรอบกฎหมายและระเบียบของ กสทช. ศาลได้วางหลักชัดเจนว่ากระบวนการที่ทรูและดีแทคดำเนินการนั้นอยู่ในอำนาจที่กฎหมายกำหนด และดำเนินไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
การควบรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งต้องการเงินลงทุนจำนวนมหาศาล จุดมุ่งหมายสำคัญคือการสร้างประสิทธิภาพสูงสุด ลดความซ้ำซ้อน และทำให้บริการยังคงเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การลดต้นทุนจากสถานีฐานที่ตั้งทับซ้อนกัน การรวมคลื่นความถี่เพื่อให้บริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการต่อยอดสู่บริการดิจิทัล IoT และโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ในเชิงเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม นี่คือการสร้าง Economies of Scale ไม่ใช่การปิดกั้นการแข่งขัน
คำพิพากษาครั้งนี้ยังทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นเกี่ยวกับ "โครงสร้างต้นทุนธุรกิจโทรคมนาคมไทย" ซึ่งสูงเกินกว่าผู้เล่นรายเล็กจะรับไหว เพราะธุรกิจนี้ไม่ใช่เพียงการขายแพ็กเกจโทรศัพท์ แต่คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล ตั้งแต่ค่าประมูลคลื่นที่แตะระดับหลายแสนล้านบาท ค่าจัดหาอุปกรณ์และลงทุนขยายโครงข่าย 4G/5G ไปจนถึงค่าดูแลโครงข่ายและระบบบริการลูกค้า ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและการควบคุมราคาค่าบริการที่เข้มข้น ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้การควบรวมกลายเป็นทางรอดมากกว่าทางตัน
ประเด็นเรื่อง "การผูกขาด" เป็นอีกหนึ่งความกังวลที่สังคมจับตามอง หลังการควบรวม ตลาดมือถือไทยเหลือผู้เล่นหลัก 3 ราย คือ AIS, TRUE–DTAC และ NT ซึ่งเป็นผู้เล่นที่รัฐถือหุ้น แต่ NT กลับไม่มีบทบาทสำคัญในการขยายเครือข่ายหรือลงทุนเพิ่ม ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าการแข่งขันอาจเหลือเพียงสองรายใหญ่ แต่ในเชิงกฎหมายแล้ว การมีผู้เล่นหลักสามราย และยังมีผู้ให้บริการ MVNO ที่เข้าสู่ตลาดรายใหม่ที่แข่งขันกันภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ยังไม่ถือเป็นการผูกขาด เพราะ กสทช. มีอำนาจในการกำหนดเงื่อนไข ทั้งการควบคุมราคา การติดตามคุณภาพบริการ และการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค
สำหรับผู้บริโภค ยังคงมีสิทธิต่าง ๆ อยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแพ็กเกจ การย้ายค่ายหากไม่พอใจ หรือการใช้สิทธิร้องเรียนต่อ กสทช. หากได้รับบริการไม่เป็นธรรม อีกทั้งในระยะยาว การควบรวมอาจก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น เครือข่ายที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงขึ้น บริการดิจิทัลใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ รวมถึงแพ็กเกจที่ตอบสนองการใช้งานที่ตรงใจของแต่ละบุคคลซึ่งคุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับมากขึ้น
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จึงไม่ได้เพียงสร้างความชัดเจนทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า การควบรวมในธุรกิจโทรคมนาคมไทยคือการปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอดและการพัฒนาบริการในอนาคต สิ่งที่สังคมควรจับตาต่อไป ไม่ใช่ว่าการควบรวม "ผิดหรือถูก" เพราะศาลได้ตัดสินแล้วว่าถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นผลประโยชน์ในระยะยาวที่ผู้บริโภคจะได้รับ และการแข่งขันระหว่างผู้เล่นหลักสองรายที่ต้องเร่งลงทุน แข่งขันกันพัฒนาเครือข่าย บริการดิจิทัล และคุณภาพการให้บริการ เพื่อครองใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด