ผู้จัดการประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต คนใหม่เผยกลยุทธ์ปี 2025 มุ่งขยายส่วนแบ่งตลาดไซเบอร์ซิเคียวริตี้ในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่และภาครัฐ ชูการรวมระบบ-ลดต้นทุน แนะลูกค้าใช้โซลูชันครบวงจร ลุยเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ขายไฟร์วอลล์ สู่ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัยแบบครบวงจร
ดร.ศุภกร กังพิศดาร ผู้จัดการประจำประเทศไทย และลาว ฟอร์ติเน็ต กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญ 3 เสาหลักที่วางแผนไว้สำหรับพัฒนาธุรกิจฟอร์ติเน็ตในไทย ได้แก่ 1. การเพิ่มขนาดโปรเจกต์ โดยการขายโซลูชันแบบบูรณาการ แทนการขายอุปกรณ์เดี่ยว 2. ขยายส่วนแบ่งตลาด ทั้งในกลุ่มเอนเทอร์ไพรซ์องค์กรขนาดใหญ่และภาคราชการ ซึ่งยังถือเป็นความท้าทายสำคัญ และ 3. พัฒนาโซลูชันเฉพาะ หรือ Vertical Solutions สำหรับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งการเงิน, SMB และ AI Security
"ความตั้งใจของผมเอง คือต้องการที่จะเพิ่มทั้งขนาดของโปรเจกต์ให้ใหญ่ขึ้น ในขณะเดียวกันเองก็จะต้องได้ส่วนแบ่งตลาดในเซกเตอร์ต่าง ๆ ที่ยังเป็น big challenge ของเรา เพราะฉะนั้นในมุมมองของเรา เราพยายามที่จะสร้างความเข้มแข็งในมุมของการสร้าง infrastructure ที่ปลอดภัยให้กับลูกค้า"
กลยุทธ์ที่ศุภกรเตรียมไว้ให้ฟอร์ติเน็ตคือ Consolidation ช่วยให้ผู้ที่ใช้ฟอร์ติเน็ตอยู่แล้วสามารถลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยศุภกรอธิบายว่าฟอร์ติเน็ตมีจุดแข็งเรื่อง "Security Fabric" ที่ช่วยลูกค้าลดจำนวนอุปกรณ์ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีสาขาจำนวนมาก ซึ่งสามารถใช้ไฟร์วอลล์ทำหน้าที่เป็น Router ได้ในตัว ส่งผลให้ต้นทุนต่อปีลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ระบบยังช่วยเพิ่มการมองเห็นได้หรือ Visibility ให้ผู้บริหารติดตามและจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ได้ดีขึ้น
ศุภกรวางแผนให้ฟอร์ติเน็ตเปลี่ยนแปลงบทบาทจากผู้ขายอุปกรณ์ ที่เน้นความสอดคล้องกับกฎระเบียบ ไปสู่ผู้ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ โดยการเข้าไปมีส่วนร่วมในเส้นทางการพัฒนาความปลอดภัยไซเบอร์หรือ Cyber Security Journey ของลูกค้าอย่างแท้จริง แทนการปล่อยให้อุปกรณ์ถูกจัดซื้อแล้วทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์
"การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับเทรนด์ 3 ประการสำคัญ ได้แก่ Security Fabric, Unified SASE และ Security Operations ที่บริษัทกำลังผลักดันในตลาดภูมิภาคนี้"
***ภัยคุกคามปี 68 โจมตีแม่นยำขึ้นเพราะ AI
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคาม ศุภกรชี้ว่าภัยคุกคามในไทยปีนี้มีการปรับแต่งหรือ Customized มากขึ้น โดยเฉพาะการโจมตีแบบ Targeted Attack ที่มุ่งเป้าไปที่บุคคลเฉพาะ โดยในตลาดลาวที่ศุภกรต้องดูแลร่วมด้วย ภัยคุกคามยังไม่ซับซ้อนเท่าไทย ส่วนใหญ่ยังเป็นการโจมตีเว็บไซต์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ลูกค้าในภาคการเงินของลาวที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท มีระดับความปลอดภัยที่สูงกว่าภาคอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
"เมื่อก่อนการทำ Social Engineering ยากมาก ต้องศึกษาเป้าหมายนาน แต่ปัจจุบันด้วย AI และ Social Listening Tools ทำให้การโจมตีแบบนี้ง่ายขึ้นมาก"
ผลสำรวจใหม่จาก IDC ที่ได้รับการสนับสนุนจากฟอร์ติเน็ต ยังพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ไทย โดยคนไอทีทั่วประเทศกำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากเชิงรับ มาเป็นเชิงรุกคาดการณ์ล่วงหน้า มีการใช้ AI เป็นแนวป้องกันด่านแรก พบว่า 9 ใน 10 องค์กรนำ AI มาใช้จริงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้
จากการสัมภาษณ์ 550 ผู้บริหารไซเบอร์ซีเคียวริตี้ใน 11 ประเทศเอเชีย-แปซิฟิก พบว่า AI ได้ข้ามพ้นกระแสนิยมแล้ว กลายเป็นเครื่องมือหลักในการขยายศักยภาพการดำเนินงานด้านความปลอดภัย โดยภัยคุกคามขับเคลื่อนด้วย AI พุ่งสูงขึ้น 2-3 เท่า และองค์กรไทยเกือบ 58% รายงานว่าเคยเผชิญภัยคุกคามขับเคลื่อนด้วย AI ในปีที่ผ่านมา
***90% องค์กรไทยใช้ AI ปกป้อง
ดร.รัฐิติ์พงษ์ พุทธเจริญ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิศวกรรมระบบ ฟอร์ติเน็ต ประเทศไทย กล่าวถึงการสำรวจว่า 62% ของกลุ่มนี้พบการโจมตีเพิ่มขึ้น 2 เท่า และ 34% ประสบการโจมตีเพิ่มสูงถึง 3 เท่า โดยองค์กรไทยกว่า 90% กำลังใช้ AI ในสภาพแวดล้อมความปลอดภัยจริง มีการพัฒนาจากการใช้เพื่อตรวจจับ ไปสู่การใช้งานขั้นสูง 5 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. การตอบสนองอัตโนมัติ 2. การสร้างแบบจำลองคาดการณ์ภัยคุกคาม 3. การตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้วย AI 4. ข่าวกรองภัยคุกคามขับเคลื่อนด้วย AI และ 5. การวิเคราะห์พฤติกรรม
อย่างไรก็ตาม การใช้ AI แบบอัตโนมัติยังจำกัด แสดงว่าองค์กรยังคงใช้ AI ในบทบาท "ผู้ช่วย" มากกว่าการควบคุมเต็มรูปแบบ นำไปสู่การเกิดตำแหน่งงานใหม่ 5 อันดับในยุคแห่งการเปลี่ยนสู่ AI-first Security ซึ่งกำลังพลิกโฉมการสรรหาบุคลากร โดยตำแหน่งที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1. นักวิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัยข้อมูล 2. นักวิเคราะห์ข่าวกรองภัยคุกคาม 3. วิศวกรด้านความปลอดภัย AI 4. นักวิจัยด้านความปลอดภัย AI และ 5. ผู้เชี่ยวชาญตอบสนองเหตุการณ์ด้วย AI
ในส่วนงบประมาณ องค์กรเกือบ 92% เพิ่มงบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ แต่ 74% เพิ่มไม่ถึง 5% และมีเพียง 18% ที่เพิ่ม 5-10% และการลงทุนใน 12-18 เดือนข้างหน้า เน้น 5 ด้านหลัก คือด้านการปกป้องอัตลักษณ์ การปกป้องเครือข่าย นอกนั้นเป็น SASE/Zero Trust, Cyber Resilience และ Cloud-Native Application Protection
แม้ความสำคัญของไซเบอร์ซีเคียวริตี้เพิ่มขึ้น แต่องค์กรยังเผชิญปัญหาขาดบุคลากร โดยจัดสรรพนักงานเพียง 6% ให้ดูแลงานไอที และมีเพียง 13% ที่เน้นไซเบอร์ซีเคียวริตี้ พบว่ามีองค์กรน้อยกว่า 1 ใน 6 ที่มีตำแหน่ง CISO และเพียง 6% ที่มีทีมเฉพาะด้านความปลอดภัยและการไล่ล่าภัยคุกคาม
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 96% กำลังรวมระบบเครือข่ายและความปลอดภัยเข้าด้วยกัน ส่วน 90% พิจารณารวมผู้ให้บริการ เพื่อประโยชน์ด้านการสนับสนุนที่รวดเร็วขึ้น.