พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ถูกตราขึ้นท่ามกลางวิกฤต แก๊งคอลเซ็นเตอร์ บัญชีม้า ซิมผี ที่ระบาดหนักในสังคมไทย จนประชาชนจำนวนมากสูญเงินมหาศาล
มีจุดเด่นตรงที่เปิดทางให้ธนาคารและหน่วยงานรัฐสามารถ "อายัดธุรกรรมเร่งด่วน" ได้ทันทีเมื่อมีการร้องเรียน ไม่ต้องรอขั้นตอนยืดยาวแบบในอดีต อีกทั้งยังเพิ่มโทษเจ้าของบัญชีหรือเบอร์โทรที่นำไปใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ พร้อมบังคับให้ธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยงานรัฐทำงานเชื่อมโยงข้อมูลกันแบบเรียลไทม์ เพื่อปิดเส้นทางการเงินของคนร้ายโดยเร็วที่สุด
กฎหมายนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเดียวกันนั้นทันที ถือเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่รัฐบาลเลือกใช้อำนาจออกเป็น พ.ร.ก. แทนที่จะรอเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพราะหากปล่อยให้การแก้ไขล่าช้า ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเดือดร้อนของสังคมจะรุนแรงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะถูกยกให้เป็น "อาวุธทางกฎหมาย" ในการหยุดยั้งอาชญากรรมไซเบอร์ แต่เมื่อบังคับใช้จริงกลับเกิดเสียงสะท้อน โดยเฉพาะปัญหา การอายัดบัญชีธนาคาร ที่แม้จะช่วยสกัดเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รวดเร็ว แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริสุทธิ์ บัญชีของใครหลายคนถูกระงับเพียงเพราะมีเงินจากมิจฉาชีพไหลผ่านเข้ามา หรือถูกแจ้งความผิดพลาด จนเจ้าของบัญชีไม่สามารถเข้าถึงเงินของตนเองได้ ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ผ่านขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลานาน
ข้อกังวลยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อพบว่า บางครอบครัวไม่สามารถเบิกเงินไปใช้จ่ายจำเป็นได้ บางคนเงินเดือนที่เพิ่งโอนเข้ามาถูกระงับทันทีจนไม่สามารถจ่ายค่าห้องหรือค่ารักษาพยาบาลให้คนในบ้านได้ ขณะเดียวกัน พ่อค้าแม่ค้าตามตลาดบางแห่งเริ่มปฏิเสธการรับโอนเงินจากลูกค้า เพราะหวั่นเกรงว่าหากเงินต้องสงสัยไหลเข้าบัญชีเพียงครั้งเดียว อาจถูกระงับวงเงินจนธุรกิจสะดุด
◉ กันโจร หรือ โกงสิทธิ์
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ชี้ว่า การระงับธุรกรรมชั่วคราว เป็นเพียงมาตรการเชิงป้องกัน ไม่ใช่การอายัดบัญชีทั้งเล่มเหมือนที่หลายคนเข้าใจผิด โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อหยุดยั้งเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดไม่ให้ไหลต่อไปยังเครือข่ายมิจฉาชีพ และยังเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ทันท่วงที เพราะที่ผ่านมา การดำเนินการตามขั้นตอนปกติมักล่าช้า จนทำให้เงินถูกโอนต่อหายเข้ากลีบเมฆ
นอกจากนี้ กฎหมายยังได้กำหนดระยะเวลาการระงับไว้เพียง 7 วัน หากตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานใหม่เพื่อขอหมายอายัด บัญชีจะต้องถูกปลดล็อกทันที ถือเป็นหลักประกันไม่ให้ผู้สุจริตถูกปิดกั้นสิทธิทางการเงินนานเกินควร แต่ปัญหาที่พบจริง คือ คนจำนวนมากไม่เข้าใจขั้นตอน บางรายตกใจเมื่อบัญชีถูกระงับ จนเข้าใจผิดว่าถูกยึดไปทั้งหมด ทั้งที่ในความจริงยังสามารถทำธุรกรรมปกติได้ เพียงแต่เงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมต้องสงสัยจะถูกกันออกไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มีคดีเข้าสู่ระบบวันละกว่า 1,000 เรื่อง และมีการโทรเข้ามาขอปลดการระงับธุรกรรมกว่า 1,300 สาย อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ พบว่ามีเพียง 300 ราย ที่สามารถให้ข้อมูลครบถ้วนเพียงพอ และในจำนวนนี้มีเพียง 10% เท่านั้นที่ปลดล็อกได้จริงในทันที ส่วนที่เหลือพบพฤติกรรมเข้าข่ายต้องสงสัยหรือมีข้อมูลเชื่อมโยงกับบัญชีม้า ทำให้ต้องถูกตรวจสอบต่อไป
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สุจริตเดือดร้อน ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ย้ำว่า รัฐได้มอบหมายให้ศูนย์ AOC 1441 ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและปลดล็อกโดยเร็วที่สุด หากผู้ใช้บัญชีส่งข้อมูลครบถ้วน กระบวนการสามารถปลดล็อกได้ และทุกกรณีจะถูกตรวจสอบอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นรายย่อยหรือแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่
◉ AOC 1441: ปลดหรือปิด
นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ AOC 1441 กล่าวเสริมว่า ศูนย์มีบทบาทสำคัญในเชิงปฏิบัติ โดยทำหน้าที่ตรวจสอบและปลดล็อกบัญชีที่ถูกระงับชั่วคราว หากผลการตรวจสอบยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ก็สามารถสั่งถอนการระงับได้ทันที เพื่อให้ผู้ใช้บัญชีกลับมาใช้งานได้ตามปกติ และลดผลกระทบที่เกิดจากการแจ้งเบาะแสที่คลาดเคลื่อน
ผู้ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อศูนย์ AOC ผ่านสายด่วน 1441 กด 2 โดยต้องแจ้งข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เลขที่บัญชี และธนาคารที่ใช้บริการ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบร่วมกับธนาคารพาณิชย์และเจ้าหน้าที่ หากไม่พบความเชื่อมโยงกับบัญชีม้า จะปลดล็อกได้ภายในครึ่งวัน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อลดความเสียหายของผู้สุจริตให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี ศูนย์ AOC ต้องเผชิญกับปัญหาปริมาณสายโทรเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังวันที่ 1 ส.ค.68 ที่มีการโอนสายจากธนาคารมายังศูนย์โดยตรง จนปริมาณการติดต่อพุ่งสูงและเกิดภาวะคอขวด แม้ก่อนหน้านี้ศูนย์จะมีสถิติการโทรติดเฉลี่ยกว่า 90% ต่อเนื่องสองปี แต่เมื่อจำนวนสายทะลักเข้ามาพร้อมกันกลับทำให้บางส่วนไม่สามารถติดต่อได้ และเกิดเสียงวิจารณ์ว่าระบบช่วยเหลือไม่ตอบสนองทันเวลา
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ นายเอกพงษ์ ยืนยันว่า ได้เร่งเพิ่มคู่สายให้มากกว่า 100 คู่สาย และเสริมเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม พร้อมทั้งปรับขั้นตอนการตรวจสอบให้กระชับขึ้น อีกทั้งยังเน้นว่ามาตรการระงับจะพุ่งเป้าไปที่ธุรกรรมที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น บัญชีที่มีเงินโอนเข้าออกจากบัญชีม้ามากกว่า 100 ครั้งต่อวัน มากกว่าจะไปกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าหรือผู้ใช้ทั่วไป เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้สุจริตจะไม่ถูกกลั่นแกล้งจากระบบที่ตั้งใจตัดเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพ
ระหว่างเวลา 00.01 น. ของวันที่ 14 ก.ย. ถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 19 ก.ย.68 ศูนย์ AOC ได้เร่งดำเนินมาตรการปลดล็อกบัญชีธนาคารที่ถูกระงับชั่วคราว โดยมีผู้โทรเข้ามายังหมายเลข 1441 กด 2 รวมทั้งสิ้น 10,157 สาย ทั้งนี้ จากจำนวนดังกล่าว พบว่า 6,010 สาย หรือคิดเป็น 59.17% ไม่ได้ให้ข้อมูลเพื่อขอปลดล็อก ขณะที่อีก 4,147 สาย หรือ 40.83% ให้ข้อมูลครบถ้วนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ให้ข้อมูลครบเป็นจำนวนมาก แต่มีเพียง 336 บัญชีเท่านั้นที่ได้รับการปลดล็อกสำเร็จ คิดเป็นเพียง 3.31% ของสายที่โทรเข้ามาทั้งหมด
◉ บทเรียนโลก-โจทย์อนาคต
สิ่งที่เกิดขึ้นกับมาตรการระงับธุรกรรม สะท้อนให้เห็นชัดว่า การใช้ "กฎหมายเร่งด่วน" แม้จะช่วยหยุดยั้งอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที แต่หากขาดระบบกำกับดูแลที่รอบด้าน ก็อาจสร้างผลกระทบต่อผู้สุจริตโดยไม่ตั้งใจ การถอดบทเรียนครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญให้รัฐออกแบบมาตรการที่สมดุลระหว่าง "การปราบปรามคนร้าย" และ "การคุ้มครองสิทธิของสังคม" ไปพร้อมกัน
หลายประเทศที่เผชิญปัญหาใกล้เคียง เช่น สิงคโปร์ รัฐบาลเลือกใช้ระบบ "ระงับธุรกรรมแบบมีชั้นกรอง" โดยธนาคารสามารถกันวงเงินต้องสงสัยไว้ชั่วคราว แต่จะมีคณะทำงานผสมระหว่างตำรวจ หน่วยงานการเงิน และผู้แทนภาคประชาชน เข้ามาร่วมตรวจสอบทันทีเพื่อยืนยันว่าบัญชีนั้นควรถูกล็อกต่อหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดภาระผู้ใช้บัญชีที่ต้องวิ่งยืนยันความบริสุทธิ์เอง และยังทำให้กระบวนการปลดล็อกเร็วขึ้นกว่าการพึ่งหน่วยงานเดียว
ในอังกฤษ มีกฎหมายกำหนดชัดว่า หากผู้บริสุทธิ์ถูกระงับเงินโดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ธนาคารต้องชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้เสียหายตามระยะเวลาที่ไม่สามารถเข้าถึงบัญชีได้ ถือเป็นกลไกกดดันให้สถาบันการเงินระมัดระวังการสั่งระงับ และทำให้ระบบเยียวยามีความเป็นธรรมมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ผู้สุจริตรอคอยอย่างไร้คำตอบ
สำหรับระบบกฎหมายบ้านเรา บทเรียนสำคัญจากเสียงสะท้อนที่ผ่านมา คือ การปรับปรุงกระบวนการให้ "ตรวจสอบจากต้นทาง" มากกว่ารอให้เงินไหลเข้าบัญชีแล้วจึงค่อยระงับ อีกทั้งควรสร้างช่องทางเยียวยาที่ชัดเจนและโปร่งใส เช่น กำหนดระยะเวลาการปลดล็อกที่แน่นอน มีการแจ้งเตือนสถานะให้ผู้เสียหายรับทราบแบบเรียลไทม์ รวมถึงพิจารณามาตรการชดเชยในกรณีที่การระงับสร้างผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เพื่อให้กฎหมายเป็นเกราะคุ้มกันจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงอีกหนึ่งภาระของผู้บริสุทธิ์