ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ร่วมกับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พัฒนาหุ่นยนต์อัจฉริยะที่เข้ามาช่วยงานบริการรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยสารรังสีไอโอดีนได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในไทย โดยมีการใช้งานจริงในการดูแลผู้ป่วยร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์
กว่าจะมาเป็นหุ่นยนต์ตัวนี้ สุริยา ก้อนคำ หัวหน้าทีมสร้างหุ่นยนต์ของทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ต้องนำทีมงานเข้าไปบุกเบิกงานที่ท้าทาย โดยใช้ประสบการณ์การทำงานและความหลงใหลหุ่นยนต์ที่เขามีอยู่เป็นทุนเดิม มาต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานที่มีประโยชน์ในการรักษา และมีคุณค่าทางจิตใจต่อผู้ป่วยอีกด้วย
เริ่มจากความหลงใหลหุ่นยนต์
สุริยาไม่ได้เรียนจบด้านเทคโนโลยี และไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาหุ่นยนต์มาแต่แรก เขาเรียนจบด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทในสาขาวิชาเดิมที่สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาเขาผันตัวไปทำงานด้านการตลาดในต่างประเทศ จนกระทั่งช่วง 10 ปีที่แล้ว เขาได้ร่วมงานกับบริษัท Semi-Conductor ยักษ์ใหญ่ของโลก จึงได้เริ่มทำงานด้านเทคนิค และทำโปรเจ็กต์พัฒนาหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในความหลงใหลของเขามานานแล้ว
แน่นอนว่า หุ่นยนต์บนโลกนี้มีหลายแบบ แต่สุริยาหลงใหลหุ่นยนต์ที่เข้ามาช่วยงานที่อันตรายแทนมนุษย์ได้ โดยหุ่นยนต์ประเภทนี้จะทำงานตามหลัก 3D คือ Dirty (งานสกปรก) Dull (งานที่ทำซ้ำๆ) และ Dangerous (งานอันตราย)
“ผมดูสารคดี ดูซีรีส์ต่างๆ แล้วคิดต่อว่าถ้าเกิดไฟป่า เราน่าจะส่งหุ่นยนต์เข้าไปขุดในพิกัดพื้นที่เพื่อดักเพลิงไว้ก่อนได้ หรือแม้แต่การใช้หุ่นยนต์เข้าไปส่งยาในป่าเขา หรือส่งเลือดด่วนในโรงพยาบาลเขตพื้นที่ภัยพิบัติ หุ่นยนต์ที่สร้างเพื่อมาทำงานตามหลัก 3D ถือว่ามีประโยชน์และคุณค่าอย่างมาก” สุริยาเล่าถึงแรงบันดาลใจ สุดท้ายเขามีโอกาสได้ร่วมพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยงานกู้ภัยในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้นำไปใช้ในสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมจริงอย่างที่เคยคิดไว้ตลอดมา
ขยายความเป็นไปได้ จากหุ่นยนต์ส่งของมาเป็นหุ่นยนต์ทางการแพทย์
หลังจากเก็บประสบการณ์ในต่างประเทศมานาน สุริยาได้มาร่วมงานกับทรู ดิจิทัลเมื่อ 5 ปีที่แล้ว สิ่งที่ดึงดูดให้เขามาทำงานที่นี่คือ ความท้าทายที่จะได้ทำงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้นและหลากหลายยิ่งขึ้น
โปรเจกต์แรกที่เขาได้รับมอบหมายคือการพัฒนา Robots As a Service แต่ช่วงเวลานั้นมีการระบาดของ Covid-19 ทีมพัฒนาหุ่นยนต์ของทรูจึงได้บุกเบิกงานใหม่ในสถานการณ์จริง นั่นคือการนำหุ่นยนต์ส่งของที่ใช้ในทาง Commercial มาปรับใช้ทางการแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามขนาด 400 เตียง
“เราประยุกต์ใช้หุ่นยนต์ส่งของจากจุด A ไปจุด B ที่เคยเห็นคุ้นตากันในร้านอาหาร โดยนำมาเพิ่มฟังก์ชัน Telemedicine สำหรับการใช้ส่งยา สอบถามอาการ โดยมีเวลาทำ Mapping ให้หุ่นยนต์เดินไปให้ครบ 400 เตียงในเวลาเพียงสองคืน ถือว่าเป็นการนำหุ่นยนต์มาช่วยงานแพทย์และพยาบาลที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้วในขณะนั้น”
จากโรงพยาบาลสนาม สู่วอร์ดรักษามะเร็งไทรอยด์
ในปี 2566 เมื่อ ทรู ดิจิทัล มีความร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ในการพัฒนาหุ่นยนต์ที่เข้าไปช่วยงานรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยรังสีไอโอดีน สุริยาบอกว่างานนี้เข้าหลักการ 3D ของการสร้างหุ่นยนต์ที่ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตั้งแต่ต้นจนจบ
เนื่องจากการสารรังสีไอโอดีนจะแผ่รังสีได้ทันทีที่นำหลอดบรรจุเม็ดยาออกจากกล่องตะกั่วหนาที่หนัก 7 กก. หรือแม้แต่เมื่อคนไข้กลืนเม็ดยาไปแล้วก็ยังมีรังสีแผ่ออกมาจากร่างกาย ดังนั้นผู้ที่มีส่วนในการดูแลคนไข้ ทั้งแพทย์ พยาบาล ไปจนถึงแม่บ้านที่เข้าไปในห้องพักรักษาผู้ป่วยมีโอกาสได้รับรังสีไอโอดีนไปด้วย
“บุรุษพยาบาลเข็นรถที่มีกล่องตะกั่วบรรจุเม็ดยารังสีไปในห้องและดูจนกว่าคนไข้กลืนยาสำเร็จ หลังทำงานเสร็จเขาไม่สามารถกลับบ้านได้ทันที เพราะต้องพักจนกว่าปริมาณสารรังสีที่ตกค้างในร่างกายลดลงในระดับปลอดภัย ส่วนแม่บ้านต้องทำความสะอาดห้องซึ่งอาจมีสารรังสีตกค้างตามที่ต่างๆ ดังนั้น ถ้ามีหุ่นยนต์เข้ามาก็จะลดผลข้างเคียงต่อสุขภาพของคนได้”
หุ่นยนต์ Happy ที่พัฒนาแบบ Outside In
หุ่นยนต์ที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยสำคัญในวอร์ดแห่งนี้จึงชื่อว่า “Happy” ซึ่งสร้างจากแนวคิด Outside In ที่มุ่งเน้นไปที่ความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง การพัฒนาเริ่มจากกระบวนการ Design Thinking เพื่อทำความเข้าใจผู้ใช้งาน ระบุปัญหา ระดมความคิดอย่างรอบด้าน โดยทีมงานจากทั้งฝั่งโรงพยาบาลและฝั่งพัฒนาหุ่นยนต์จะได้พูดคุยกัน ทุกคนจะเขียนฟังก์ชันทั้งหมดที่อยากให้มี จึงหาจุดร่วมและความเป็นไปได้ด้วยกัน ก่อนพัฒนาเป็นหุ่นยนต์ที่มี 4 ฟังก์ชันสำคัญ คือ
- ขนส่ง ทั้งสารรังสีไอโอดีนสำหรับการรักษา รวมถึงยา เวชภัณฑ์ และอาหาร
- Telemedicine แพทย์ให้คำปรึกษา คำแนะนำ สอบถามอาการกับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดผ่านวิดีโอคอล
- วัดและบันทึกสัญญาณชีพ โดยเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์
- สำรวจและตรวจวัดการเปรอะเปื้อนของรังสีในห้องพักและพื้นที่ต่างๆ ด้วยไกเกอร์มิเตอร์
“การทำงานร่วมกันครั้งนี้ รศ.พญ. คนึงนิจ กิ่งเพชร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหัวหน้าทีมพัฒนาหุ่นยนต์ฝั่งเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โดยร่วมดูภาพรวมการออกแบบหุ่นยนต์ให้ตอบโจทย์งานจริงในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย เพื่อให้เทคโนโลยีใหม่ใช้งานได้จริงและช่วยทีมดูแลคนไข้ได้มากที่สุด”
สำหรับระยะเวลาในการพัฒนาอยู่ที่ 1 ปี เริ่มตั้งแต่การนำแชสซี (Chassi) หรือโครงสร้างของหุ่นยนต์ส่งของมาถอดรื้อ เปลี่ยนกลไก และเสริมล้อที่รองรับน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ยาได้ พร้อมไปกับการทำ Coding และวิศวกรรมเกมกล เพื่อให้หุ่นยนต์เดินแล้วไม่ล้ม เบรกแล้วไม่เสียบาลานซ์ เพราะจุดสำคัญคือความปลอดภัยที่พลาดไม่ได้แม้สักครั้งเดียว
“โดยปกติแล้วหุ่นยนต์ส่งของจะไม่ได้ลงน้ำหนักในจุดเดียวเหมือนกับการขนส่งบรรจุภัณฑ์ยารังสี เราจึงใช้เวลาในการทดสอบเป็นพันๆ ครั้ง โดยทดสอบการรับน้ำหนักอยู่สองเดือนเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย ก่อนนำไปฉีดขึ้นรูปตามดีไซน์ที่วางไว้ เมื่อนำไปทดสอบ Journey การใช้งานจริงที่โรงพยาบาล ก็จะเก็บคอมเมนต์รวมถึงสิ่งที่เจอหน้างานมาปรับปรุงเพิ่มเติม”
ในด้านการควบคุมสั่งการ เรียกว่าเครือข่าย 5G มีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการควบคุมผ่านแท็บเล็ตที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่เสถียร เร็วแรงเพื่อการสื่อสารและส่งข้อมูลผลตรวจแบบเรียลไทม์ พร้อมไปกับจัดเก็บในระบบคลาวด์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในห้องพักรักษาบุตะกั่วหนา 1 ซม. ซึ่งเทียบเท่ากับความหนาของอิฐแดง 1 เมตร จึงมีการติดตั้ง Cell Site ในห้อง เพื่อใช้การเชื่อมต่อใช้เครือข่ายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
หุ่นยนต์ที่ผสานความเป็นมนุษย์ ที่ทั้งรักษากาย และเยียวยาจิตใจ
แนวคิด Humanize คืออีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ในดีไซน์หุ่นยนต์ตัวนี้เช่นกัน และไม่น่าแปลกใจที่ทีมทำงานจากสองฝั่งเลือกตั้งชื่อหุ่นยนต์ตัวนี้ว่า Happy เพราะนอกจากจะเป็นหุ่นยนต์ที่เข้ามาช่วยงานแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มให้กับบุคลากร ผู้ป่วย หรือแม้แต่ผู้พบเห็นได้ ด้วยดีไซน์เป็นรูปแมว ทั้งลวดลาย สีสัน Interface หน้าจอแท็บเล็ตสั่งงาน หรือแม้แต่เสียงพูดที่น่าฟัง
“น้อง Happy” ของวอร์ดรักษามะเร็งไทรอยด์จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยงานทางการแพทย์เท่านั้น เพราะในฝั่งของคนไข้แล้ว น้อง Happy ในการรักษาแล้ว ยังช่วยเยียวยาจิตใจและส่งกำลังใจดีๆ ให้คนไข้ได้อีกด้วย
“ทางโรงพยาบาลจะมีการเก็บ Side Survey ทุกครั้งจากทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยจะกลัวและรู้สึกไม่ดีว่าคนที่เข้ามาช่วยดูแลเขาในห้องจะได้รับรังสีไปด้วย แต่พอมีหุ่นยนต์ Happy เข้ามาเขาก็สบายใจขึ้น จากห้องที่ดูทึมๆ เหงาๆ ก็ดูสดใสขึ้น ผู้ป่วยสามารถวิดีโอคอลพูดคุยกับครอบครัวที่มาเยี่ยมได้ และมีกำลังใจที่ดีขึ้น” สุริยาเล่าถึงผลตอบรับ
หุ่นยนต์ Happy ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และใช้งานจริงในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นเวลา 2 ปี กว่า 1,200 เตียง ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ตัว โดยมีฟีเจอร์สำคัญที่เรียกว่าใช้ได้ครบกระบวนการการดูแลผู้ป่วยที่รักษาด้วยสารรังสีไอโอดีน ได้แก่ การสแกนค่ารังสี ก่อนจะแสดงผลออกมาเป็นแมพของตัวห้อง พร้อมกับเป็น Telemedicine ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ตลอดจนผู้ป่วยสามารถสื่อสารกับญาติได้ นอกจากนี้ยังสามารถส่งอาหาร 3 มื้อ โดยไม่ต้องใช้พยาบาล และสามารถวัดค่าต่าง ๆ ได้ เช่น ชีพจร ความดัน และเก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์เพื่อให้แพทย์ตรวจสอบต่อไป
หุ่นยนต์ Happy เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ร่วมประกวดใน CP Innovation & Symposium 2025 ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนจากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ ซี.พี. จาก 15 ประเทศทั่วโลกและเขตเศรษฐกิจได้ส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวด และได้รับรางวัล Chairman Award
นอกจากนี้ที่ผ่านมายังได้รับรางวัลจากหลายเวที ได้แก่ รางวัลเลิศรัฐ ระดับดีเด่น ประจำปี 2567 สาขาบริการภาครัฐ ประเภทนวัตกรรมการบริการ จากคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
ความฝันถึง Companion Bot ผู้ช่วยที่เป็นเพื่อนคู่กาย
ก่อนจบบทสนทนา สุริยาเล่าว่า ความฝันสูงสุดในชีวิตของเขาคือ การสร้างหุ่นยนต์ Companion Bot หรือผู้ช่วยในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ที่ติดตัวตามไปได้ทุกที่เหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“ถ้าลองค้นหาจะเจอหุ่นยนต์แบบนี้ ที่เห็นคือ RoboHon ของญี่ปุ่นซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลายปีมาแล้ว โดยสร้างให้เป็นเพื่อนกับคน จดจำหน้าและเสียงเจ้าของได้ พูดคุยโต้ตอบได้ ช่วยค้นหาข้อมูล และมีจอ LED Projector สำหรับฉายไฟล์ภาพที่เก็บบันทึกเก็บไว้ รวมถึงแจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆ ประจำวัน เช่นถ้าเป็นผู้สูงอายุก็เตือนให้กินยา” เขาอธิบาย
“ผมคิดว่าถ้ามีการรวมกับเทคโลยีใหม่ๆ ในตอนนี้ เช่น AI หรือ Physical AI หุ่นยนต์ Companion Bot จะยิ่งฉลาดมากขึ้น ความฝันของผมคืออยากสร้างหุ่นยนต์ที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้ช่วยของมนุษย์ ที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายได้จริง” สุริยาทิ้งท้าย