92% คนไทยผวา สายสื่อสารรกรุงรัง เสี่ยงอุบัติเหตุ สภาผู้บริโภค จี้ กสทช.-การไฟฟ้า เร่งจัดการ ก่อนเหตุร้ายซ้ำซาก
เมื่อวันที่ 1 ก.ย.68 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) เปิดเวทีเสวนา "เปิดรายงาน-เปิดทางออก พลิกวิกฤตสายสื่อสารไม่ปลอดภัย สู่การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นรูปธรรม" พร้อมเผยรายงานพฤติกรรมการกระทำ หรือละเลยหน้าที่ของหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง กับปัญหาสายสื่อสารที่พาดระโยงระยางบนเสาไฟทั่วประเทศ ซึ่งแม้จะเป็นปัญหาเรื้อรังแต่กลับไม่เคยถูกจัดการอย่างจริงจัง สร้างความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง
นายลาภิศ ฤกษ์ดี หัวหน้าหน่วยงานเขตพื้นที่ภาคเหนือ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นภัยเงียบที่อาจคร่าชีวิตผู้บริโภคได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือมีกรณีร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับสายที่ห้อยต่ำหรือชำรุด เช่น เหตุไฟไหม้จากเสาไฟที่พันสายแน่นหนา หรือเหตุที่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ถูกรัดคอจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งที่ไม่อาจทราบว่าสายดังกล่าวเป็นของผู้ประกอบการรายใด
ข้อมูลร้องเรียนสะสมกว่า 1,177 เรื่องถูกส่งต่อผ่าน @ERCvoice ของการไฟฟ้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่การแก้ไขยังล่าช้า บางกรณีใช้เวลานานถึง 101 วัน ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก เช่น ที่พะเยา น่าน ลำปาง และล่าสุดที่ประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากสายห้อยพาดคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผลสำรวจผู้บริโภค 2,199 คน สะท้อนชัดเจนว่า 71.7% เคยเจอปัญหาสายรกรุงรัง 91.5% ต้องการให้จัดการจริงจัง และ 92.1% เชื่อว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดจากสายที่ไม่เป็นระเบียบได้ โดย 80% ชี้เป้าให้ กสทช. เป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ไข
สภาผู้บริโภคจึงเสนอแนวทางเชิงระบบ เช่น ตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีผู้บริโภคร่วมด้วย จัดงบประมาณจัดระเบียบสายอย่างน้อยปีละ 10 กิโลเมตร ปรับระบบสายให้เป็นรายเดียว (Single Last Mile) และตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากสายสื่อสารโดยตรง
นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ จากศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้จัดทำรายงานระบุว่า รายงานนี้รวบรวมข้อร้องเรียนและข้อเท็จจริงจากทั่วประเทศ สะท้อนภาพการละเลยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กสทช., การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แม้จะมีมติ ครม. ให้ กสทช. เป็นเจ้าภาพหลักตั้งแต่ปี 64 และเริ่มนำสายลงดินบางส่วนในปี 66 แต่ปัญหายังคงเกิดซ้ำ โดยเฉพาะจากการปล่อยให้เอกชนพาดสายโดยไร้มาตรการกำกับ
แม้จะมีประกาศของ กสทช. ปี 60 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดระเบียบสาย ไม่ให้รกรุงรัง แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน ขณะที่กลไกเยียวยาผู้เสียหายก็ผลักภาระให้ประชาชนต้องฟ้องร้องเอาเอง ทำให้การบังคับใช้ไร้พลัง ส่วน กฟน. และ กฟภ. ก็มีระเบียบปี 66 ที่โยนภาระการจัดการให้เอกชน และยังคงมีช่องว่างหลายประการ เช่น ค่าชดเชยต่ำ และข้อกำหนดในภาคสนามที่ทำจริงไม่ได้
สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้ กสทช. แก้ไขประกาศให้สำนักงานภูมิภาคมีอำนาจสั่งการได้โดยไม่ต้องรอส่วนกลาง จัดตั้งกองทุนเยียวยาด้วยการหักค่าพาดสาย 15-20% และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการจัดการสายทุก 6 เดือน เพิ่มการประกันความรับผิด และกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเข้าไปจัดการได้ทันที พร้อมให้กระทรวงมหาดไทยทำหนังสือเวียนผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาในพื้นที่
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า แม้จะมีมติ ครม. วันที่ 24 พ.ย.64 มอบหมายให้ กสทช., กฟน., กฟภ. และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จัดระเบียบสายไฟในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่การติดตามของสภาผู้บริโภคพบว่ายังมีปัญหาในหลายพื้นที่ จึงได้ทำรายงานชี้การละเลยส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอคำชี้แจงภายใน 60 วัน พร้อมจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีและ ครม. เมื่อวันที่ 28 ส.ค.68 เพื่อเร่งคลี่คลายปัญหาให้เป็นรูปธรรม
น.ส.ชุตานันท์ คำแสง ผู้แทนจาก กสทช. ชี้แจงว่า ขณะนี้สำนักงานได้ร่วมมือกับ กฟน. และ กฟภ. ดำเนินการจัดระเบียบตามมติ ครม. โดยใช้งบประมาณจากกองทุน กทปส. วงเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งจำกัดแค่พื้นที่ประชากรหนาแน่นใน กทม. ส่วนพื้นที่นอกเส้นทางสามารถหักค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมกองทุน USO ได้ไม่เกิน 15% สำหรับแนวคิด Single Last Mile กำลังดำเนินการที่พัทยาเหนือและถนนข้าวสาร โดย NT เป็นผู้ดำเนินการให้ถึงปลายทาง ขณะที่ กสทช. อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะสามารถออกเป็นนโยบายทั่วประเทศ หรือจำกัดไว้เพียงโครงการนำร่อง
ส่วนการแก้ไขประกาศสิทธิแห่งทาง กสทช. กำลังพิจารณาปรับเพิ่มบทลงโทษในกรณีผู้ประกอบการไม่จัดระเบียบสาย และเร่งเสนอผ่านบอร์ด กสทช. และออกเป็นพระราชกฤษฎีกาต่อไป ทั้งนี้ กสทช. เห็นด้วยกับข้อเสนอการจัดตั้งกองทุนเยียวยา โดยให้ผู้ประกอบการร่วมรับผิดชอบ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากสายสื่อสารได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็วและทั่วถึง