'ดีอี' ตั้งศูนย์ปราบข่าวปลอม ล่าแก๊งปั่น สแกนโซเชียลทะลุพันล้านโพสต์ เตือนแรง ใครโพสต์มั่ว แชร์มั่ว เจอคุก 5 ปี ปรับ 1 แสน
เมื่อวันที่ 6 ส.ค.68 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดีอี (Top Executives) ครั้งที่ 7/2568 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี คณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ประชุมหารือ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ผลการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ปี 2025 ที่เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 4 ส.ค.68 ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้งานเทคโนโลยี AI โดยไทยแสดงท่าทีผลักดันการพัฒนา AI ควบคู่กับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ย้ำปัญหาข่าวปลอมและการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ประเด็นที่สอง คือ การขับเคลื่อนโครงการ 1 อำเภอ 1 ไอทีแมน หรือ โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ดิจิทัลอำเภอปฏิบัติงานแล้ว 878 อำเภอทั่วประเทศ และมีการตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มอีก 500 แห่ง ส่งผลให้มีศูนย์ฯ รวมราว 2,300 แห่งทั่วประเทศ
ประเด็นที่สาม คือ การยกระดับการต่อต้านข่าวปลอม รัฐบาลได้ตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม หรือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ โดยมีนายประเสริฐเป็นประธาน และศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์เป็นรองประธาน บูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงและการประชาสัมพันธ์ร่วมทำงาน อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย
จุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จบนสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนสื่อสารข้อเท็จจริงเชิงรุกให้ประชาชนเข้าใจ โดยมีการหารือกับแพลตฟอร์มทุกรายเพื่อขอความร่วมมือในการปิดกั้นข่าวปลอมที่กระทบความมั่นคงของประเทศ กระทรวงดีอีสนับสนุนกำลังจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) เฝ้าระวังและตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ได้หารือผู้บริหารแพลตฟอร์มโซเชียล โดยเฉพาะ Meta/เฟซบุ๊ก เพื่อเร่งกลไกจัดการเนื้อหากระทบความมั่นคงและสถานการณ์อ่อนไหว เช่น ช่วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ฝ่ายแพลตฟอร์มให้การสนับสนุน 5 แนวทาง ได้แก่ 1.ยกระดับความสำคัญงานตรวจสอบข่าวปลอมของทั้งสองประเทศ 2.เพิ่มกำลังคนตรวจสอบเนื้อหา 3.ใช้ AI ตรวจจับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI มากขึ้น 4.ใช้ AI ตรวจพฤติกรรมที่เข้าข่าย IO เช่น บัญชีเดียวคอมเมนต์ปริมาณผิดปกติ และ 5.บังคับยืนยันตัวตนที่ถูกต้องเมื่อซื้อโฆษณา เพื่อระบุตัวผู้รับผิดชอบ และเมื่อรัฐบาลร้องขอให้ตรวจสอบ เฟซบุ๊กจะเร่งความเร็วการดำเนินการ รวมถึงช่วยลบเครือข่าย IO ที่มีปัญหา
สำหรับสถิติของศูนย์ AFNC ตั้งแต่เดือน พ.ย.62 ถึง 31 ก.ค.68 คัดกรองข้อความทั้งหมด 1,188,564,734 ข้อความ พบข้อความเข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 2,279,897 ข้อความ แปรสภาพเป็นเรื่องที่ส่งตรวจสอบ 41,882 เรื่อง แบ่งหมวดที่ส่งผลกระทบกว้าง ได้แก่ นโยบายรัฐบาลและความมั่นคง 20,052 เรื่อง สุขภาพ 14,713 เรื่อง เศรษฐกิจ 2,229 เรื่อง อาชญากรรมออนไลน์ 2,794 เรื่อง และภัยพิบัติ 2,094 เรื่อง ขณะเดียวกันมีเรื่องที่ตรวจสอบแล้ว 21,622 เรื่อง จำแนกเป็นข่าวปลอม 7,714 เรื่อง ข่าวจริง 8,577 เรื่อง ข่าวบิดเบือน 2,456 เรื่อง และข้อมูลไม่เพียงพอ 2,875 เรื่อง
เฉพาะช่วงวันที่ 1-31 ก.ค.68 ศูนย์ AFNC คัดกรองข้อความ 4,325,323 ข้อความ พบเข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 1,180,452 ข้อความ มีเรื่องที่ส่งตรวจสอบ 1,059 เรื่อง แบ่งเป็นนโยบายรัฐบาล 591 เรื่อง สุขภาพ 122 เรื่อง เศรษฐกิจ 32 เรื่อง อาชญากรรมออนไลน์ 248 เรื่อง และภัยพิบัติ 66 เรื่อง โดยเรื่องที่ตรวจสอบแล้วรวม 517 เรื่อง เป็นข่าวปลอม 275 เรื่อง ข่าวจริง 160 เรื่อง ข่าวบิดเบือน 60 เรื่อง และข้อมูลไม่เพียงพอ 22 เรื่อง
"รัฐบาลยกระดับการจัดการปัญหาข่าวปลอมที่กระทบทั้งสังคมและเศรษฐกิจ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติจะทำงานทั้งการเฝ้าระวัง ปิดกั้น และสื่อสารข้อเท็จจริงเชิงบวกให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ควบคู่กับการหารือแพลตฟอร์มเพื่อความร่วมมือในการป้องกันการแพร่กระจาย โดยเฉพาะกรณีที่กระทบความมั่นคงของประเทศ" นายประเสริฐ กล่าว
ทั้งนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า การนำข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะปลอมทั้งหมดหรือบางส่วน รวมถึงการเผยแพร่หรือส่งต่อ เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เป็นความผิดยอมความไม่ได้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ก่อนแชร์ทุกครั้ง
ส่วนการแต่งตั้งปลัดกระทรวงดีอี ทดแทน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.68 นายประเสริฐ กล่าวว่า คาดว่าจะเสนอบรรจุวาระต่อที่ประชุม ครม. ภายในเดือน ส.ค.68 และเข้าสู่การพิจารณในวันที่ 19 ส.ค.68
"ต้องการเห็นคนในที่มีความรู้ความสามารถ มาทำหน้าที่ปลัดกระทรวง เบื้องต้นมีรายชื่อผู้เหมาะสมในใจแล้ว แต่การตัดสินใจเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี" นายประเสริฐ กล่าว