xs
xsm
sm
md
lg

ไทยร่วง 5 อันดับศักยภาพแข่งขันโลก สตาร์ทอัปเทคหาทุนยาก e-Government โคม่าสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับสัญญาณไทยกำลังล้าหลังทั้งการเข้าถึงเงินทุน ประสิทธิภาพภาครัฐ และการแข่งขันกับเพื่อนบ้านในภูมิภาค หลังผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศพบว่าไทยมีอันดับลดลงจากปีที่แล้วทุกด้าน ที่เห็นชัดที่สุดคือตลาดหุ้นไทยร่วงไปอยู่อันดับ 67 จาก 69 ประเทศ สะท้อนภาวะสตาร์ทอัปไทยหาเงินทุนยากมากเทียบกับประเทศอื่น ขณะที่ประสิทธิภาพงานภาครัฐหรือ Government Efficiency ร่วงแรง 8 อันดับ

นายนิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลกจาก IMD ของสวิตเซอร์แลนด์ ว่าภายใต้วิกฤติต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหา เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง และร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของ SMEs

"ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitive advantage แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังที่หลาย ๆ ประเทศที่ประสบปัญหาและเผชิญความท้าทายของสถานการณ์โลกเช่นเดียวกับเราที่สามารถปรับตัวฝ่าวิกฤติ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยก็สามารถทำได้หากเรามีทิศทางที่ชัดเจน"

 นายนิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) นั้นหยิบผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD – WCC) ประจำปี 2568 มาวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไข โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับลดลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 เท่ากับเมื่อปี 2566

การที่คะแนนของประเทศไทยตกลงไป 5 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 30 จาก 69 ประเทศทั่วโลก เป็นผลมาจากคะแนนในส่วน Government Efficiency ตกลงไป 8 อันดับ นี่คือเรื่องใหญ่ในยุคที่ประเทศเอสโตเนียทำ e-Government ให้ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปหน่วยงานราชการ และประเทศสิงคโปร์มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยตัดสินใจนโยบาย


ในอีกด้าน คะแนนส่วน Infrastructure ก็ตกลงไป 4 อันดับ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นรากฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี นอกจากนี้ คะแนนส่วน Business Efficiency ยังหล่นลงมาเพราะตลาดหลักทรัพย์ (Stock Market Index) ไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 67 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งมีนัยว่า Startup ไทย กับบริษัทเทคโนโลยีของไทยอยู่ในภาวะที่หาเงินทุนยากมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ในอีกด้าน สถิติของไทยไม่ได้ย่ำแย่ไปทั้งหมด เพราะไทยยังมีจุดแข็งอยู่ในด้านการค้าระหว่างประเทศ การจ้างงาน และนโยบายภาษี เห็นได้จากการมีอันดับที่ดีใน 3 ด้านนี้ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4, อันดับที่ 3 และอันดับที่ 8 ตามลำดับ ซึ่งแสดงว่าไทยยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีคนทำงานเก่ง แค่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันยุคดิจิทัล

ประธาน TMA นำเสนอแนวทางที่น่าสนใจในด้านเทคโนโลยี โดยมองว่าไทยควรให้ความสำคัญกับ Agri-food Tech & MedTech ซึ่งการเกษตรและการแพทย์เป็น 2 อุตสาหกรรมที่ตรงกับเทรนด์โลก FoodTech และ HealthTech จึงกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดนานาชาติ ตั้งแต่การทำฟาร์มแนวดิ่ง (Vertical Farming), การเพาะเลี้ยงเนื้อ (Lab-grown Meat) ไปจนถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และการนำ AI มาวิเคราะห์รักษาโรค (AI Diagnosis)


นอกจากนี้ ภาครัฐยังควรให้ความสำคัญกับการทำ Digital Transformation อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่เอาแบบฟอร์มมาพัฒนาเป็นไฟล์เอกสาร PDF แล้วเรียกว่าดิจิทัล แต่จะต้องเป็นบริการครบวงจรหรือ End-to-end Digital Service เหมือนที่เกาหลีใต้ทำ

อีกสิ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญคือนวัตกรรมสำหรับองค์กรขนาดย่อมหรือ SME Innovation เพื่อให้ร้านค้าหรือบริษัทขนาดย่อมได้ใช้เทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, Social Commerce หรือแม้แต่ AI สำหรับการตลาด รวมถึงการปฏิวัติการศึกษาไทยในด้านเทคโนโลยี (Tech Education Reform) เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กไทยเข้าใจเรื่อง Coding, Data Science, AI Ethics ตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่แค่ท่องจำ

สำหรับการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย IMD – WCC ประจำปี 2568 นี้มีเขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอันดับเพิ่มเติม 3 เขตเศรษฐกิจ คือ โอมาน เคนยา และนามิเบีย และมี 1 เขตเศรษฐกิจที่ไม่เข้าร่วมการจัดอันดับในปีนี้ คืออิสราเอล ทำให้มีประเทศที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจจากเดิมที่มี 67 เขตเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ในปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ 3 ตัวชี้วัด และด้านโครงสร้างพื้นฐาน 3 ตัวชี้วัด ทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดที่ใช้ในการจัดอันดับรวมทั้งสิ้น 262 ตัวชี้วัด โดยใช้ข้อมูลสถิติ 170 ตัวชี้วัด และจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารภาคธุรกิจ 92 ตัวชี้วัด.




กำลังโหลดความคิดเห็น