xs
xsm
sm
md
lg

หนีไปหรืออยู่ต่อ? รวมคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ CapCut

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ใครที่ชอบตัดต่อวิดีโอลง TikTok, Reels หรือทำคอนเทนต์ต่างๆ เชื่อว่าชื่อของ CapCut ต้องเป็นแอปสามัญประจำเครื่องของหลายคน เพราะความใช้ง่าย ฟรี และมีฟีเจอร์ครบครัน

แต่รู้ไหมว่าเบื้องหลังความสะดวกสบายนั้น อาจมี "ราคา" ที่ผู้ใช้ต้องจ่ายโดยไม่รู้ตัว และประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลก เกี่ยวกับ ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้งาน (Terms of Service) ฉบับใหม่ของ CapCut ที่หลายคนอาจกด "ยอมรับ" ไปแล้วโดยที่ไม่ได้อ่าน

***CapCut ไม่ได้เปลี่ยนกติกาคนเดียว

การเปลี่ยนแปลง Terms of Service ใหม่ของ CapCut เริ่มเป็นดราม่าใน TikTok โดยมีครีเอเตอร์หลายคนออกมาเตือนว่า CapCut ได้อัปเดตข้อกำหนดใหม่ และมีเนื้อหาที่น่ากังวลมาก โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า CapCut ขอสิทธิ์ในคอนเทนต์ของผู้ใช้แบบ "ไม่มีเงื่อนไข, เพิกถอนไม่ได้, ตลอดไป และครอบคลุมทั่วโลก" ในการนำไปใช้, ดัดแปลง, ทำซ้ำ, เผยแพร่ หรือแม้กระทั่งจัดเก็บ

หลายคนฟังดูแล้วน่ากลัว เหมือนกับว่าทันทีที่ผู้ใช้อัปโหลดคลิปขึ้นไปตัดต่อ คลิปนั้นจะกลายเป็นสมบัติของ CapCut ไปเลย ซึ่ง CapCut สามารถเอาไปทำอะไรต่อก็ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ออกมาแย้งว่า ข้อความทางกฎหมายลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ได้มีแค่ใน CapCut แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง TikTok, Instagram หรือแม้แต่ Facebook ก็มีข้อกำหนดในลักษณะคล้ายกันแบบนี้ทั้งนั้น


ทำไมต้องใช้ข้อกำหนดแบบนี้? คำตอบคือเพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับ "สิทธิ์" จากผู้ใช้ เพื่อที่จะให้บริการขั้นพื้นฐานได้ เช่น การแสดงผลวิดีโอของผู้ใช้บนแอป, การประมวลผลเพื่อใส่เอฟเฟกต์ หรือการจัดเก็บไฟล์ไว้บนคลาวด์ของบริษัท พูดง่ายๆ คือมันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานเพื่อให้แอปทำงานได้สะดวก

แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติของวงการ ก็ไม่ได้หมายความว่าประเด็นนี้ไม่มีความเสี่ยง และนี่คือสิ่งที่ครีเอเตอร์ทุกคนต้องตระหนักให้ดี เพราะข้อกำหนดของ CapCut ฉบับใหม่นี้ มันเปิดช่องให้เกิดสถานการณ์ที่หลากหลายเหลือเกิน

สถานการณ์แรกคือ ผู้ใช้อาจสูญเสียการควบคุมผลงานตัวเอง คลิปตลกๆ ที่เคยทำ หรือวิดีโอสวยๆ ที่ถ่ายไป อาจไปโผล่อยู่ในโฆษณาของ CapCut โดยไม่รู้ตัว และไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย เพราะได้ "อนุญาต" ไปแล้วตั้งแต่วันที่กดยอมรับ

นอกจากนี้ คอนเทนต์เชิงพาณิชย์ก็อาจไม่ปลอดภัย ถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจ, เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่รับงานลูกค้า แล้วใช้วิดีโอที่มีข้อมูลสินค้าหรือแบรนด์ไปตัดต่อใน CapCut ก็อาจกำลังมอบสิทธิ์ในคอนเทนต์นั้นให้กับ CapCut ไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจสร้างปัญหาด้านลิขสิทธิ์กับลูกค้าของครีเอเตอร์ได้ในอนาคต


และที่น่ากังวลที่สุดในยุคนี้ คือข้อมูลของผู้ใช้จะถูกนำไปใช้เทรน AI ทุกคลิปที่มีการอัปโหลดไป ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอส่วนตัวกับครอบครัว หรือคลิปเบื้องหลังการทำงาน จะถูกพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่ "ไม่เป็นความลับ" และสามารถถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการพัฒนาระบบ AI ของไบต์แดนซ์ (ByteDance) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของทั้ง CapCut และ TikTok ได้

***ไม่ยอมรับ=ใช้งานไม่ได้

คำถามสำคัญคือครีเอเตอร์จะทำอะไรได้บ้าง หรือสามารถยกเลิกการให้สิทธิ์นี้ได้ไหม คำตอบคือไม่ได้ ตราบใดที่ใครยังใช้แอปนี้อยู่ การไม่กดยอมรับก็เท่ากับใช้งานไม่ได้ ทางเดียวที่จะ Opt-out คือ "เลิกใช้"

ทางออกและทางเลือกสำหรับครีเอเตอร์ที่ยังจำเป็นต้องใช้ CapCut ต่อไป คำแนะนำจากสื่อต่างประเทศคืออย่าอัปโหลดไฟล์ที่ละเอียดอ่อน โดยควรหลีกเลี่ยงการตัดต่อวิดีโอที่เป็นเรื่องส่วนตัวสูง, ข้อมูลความลับทางธุรกิจ หรือคลิปที่ติดสัญญาว่าจ้างกับลูกค้าบน CapCut

ในอีกด้านก็ควรปิดการซิงค์ข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อจำกัดปริมาณข้อมูลที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของ CapCut ด้วย


สำหรับการมองหาแอปทางเลือก ปัจจุบันมีแอปตัดต่อวิดีโอคุณภาพดีอีกหลายตัวที่นโยบายเป็นมิตรกับผู้ใช้มากกว่า เช่น VN Video Editor ที่ฟรีและไม่มีลายน้ำ, InShot ที่ใช้งานง่ายและเป็นที่นิยม, KineMaster สำหรับคนที่ต้องการฟีเจอร์ระดับโปรขึ้นมาหน่อย หรือแม้แต่ Canva และ Adobe Premiere Rush ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

ที่สุดแล้ว เรื่องนี้เป็นเหมือนเสียงปลุกที่สำคัญ ให้คนในยุคดิจิทัลทุกคนตื่นลืมตาและมองเห็นว่า "ของฟรี" อาจไม่ได้มีอยู่จริงเสมอไป และ User-Generated Content หรือคอนเทนต์ที่ผู้ใช้อย่างเราสร้างขึ้น กำลังกลายเป็น "วัตถุดิบ" หรือ "ขุมทรัพย์" ที่มีค่ามหาศาลสำหรับบริษัทเทคโนโลยี

ดังนั้น ก่อนจะกด "ยอมรับ" อะไรก็ตามในครั้งต่อไป ลองใช้เวลาอ่านสักนิด หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อย เพราะในยุคที่คอนเทนต์คือสินทรัพย์ การปกป้องผลงานและข้อมูลส่วนตัว คือทักษะที่แนะนำให้กับคนทุกรุ่นในยุคนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น