'NT' แบกหนี้หลังแอ่น! 'สรรพชัยย์' เปิดเกมดึงพันธมิตร AIS–True–จีน เจรจาอุ้มธุรกิจโมบาย–บรอดแบนด์ หวังประคององค์กรขาดทุนยับ ลั่นไม่ขายกิจการแต่ต้องดิ้นก่อนจะตาย
พ.อ.สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เปิดเผยว่า ขณะนี้ NT อยู่ระหว่างพิจารณาข้อเสนอจากพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเข้ามาร่วมฟื้นฟูธุรกิจหลักขององค์กร ได้แก่ ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โมบาย) และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ซึ่งต่างประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโมบายที่ขาดทุนสูงกว่า 4,000 ล้านบาทในปี 2566 เพียงปีเดียว
พ.อ.สรรพชัยย์ ยืนยันว่าแนวทางความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่การขายกิจการหรือโอนถ่ายพอร์ตลูกค้า แต่เป็นการเปิดให้พันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การบริหารจัดการในพื้นที่ที่ NT มีข้อจำกัดด้านบริการ การซ่อมบำรุง หรือไม่สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มทุน ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและไม่กระทบสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจ
เบื้องต้นมีข้อเสนอเข้ามาแล้วจากอย่างน้อย 3 กลุ่ม ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ True และผู้ผลิตอุปกรณ์จากประเทศจีน โดยแต่ละรายได้นำเสนอโครงการร่วมมือหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบริหารทรัพย์สินของ NT เช่น เสาสัญญาณหรือระบบสาย การแบ่งปันทรัพยากรโครงข่าย (Active Sharing) การทำตลาดในพื้นที่ที่ NT เข้าไม่ถึง รวมถึงโมเดลการการันตีฐานลูกค้าเดิมและการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยจะแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน คณะทำงานภายใน NT ที่มีสหภาพแรงงานร่วมเป็นหนึ่งในผู้พิจารณา กำลังพิจารณาโมเดลธุรกิจร่วมกับพันธมิตรแต่ละราย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบในมิติต่างๆ ทั้งด้านการเงิน การดำเนินงาน และบุคลากร โดยตั้งเป้าจะสรุปรายงานเสนอเข้าสู่คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ภายใน 2–3 เดือนข้างหน้า
พ.อ.สรรพชัยย์ ยืนยันว่า ข้อเสนอจากแต่ละฝ่ายไม่ได้มุ่งไปที่การซื้อขายกิจการหรือการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของรัฐ แต่เน้นความร่วมมือในการบริหารจัดการและสนับสนุนการให้บริการ ซึ่งเป็นไปตามหลักการรัฐธรรมนูญที่ห้ามการจำหน่ายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ โดยเฉพาะในกิจการโทรคมนาคมที่ถือเป็นโครงสร้างสำคัญของประเทศ
"ข้อเสนอที่เข้ามาส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงการซื้อขาย แต่เสนอรูปแบบความร่วมมือ เช่น การเป็นพันธมิตรด้านการตลาด หรือการเข้ามาช่วยดูแลลูกค้าในบางพื้นที่ ขณะที่ทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นของ NT" พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ธุรกิจโมบายของ NT ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลักขององค์กร ยังคงประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา (2566) ขาดทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2567 ตัวเลขขาดทุนลดลงจากปีก่อนราว 20–30% เนื่องจากการปรับลดต้นทุน เช่น การยกเลิกแพ็กเกจแบบใช้งานไม่จำกัด (Unlimited) และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านโรมมิ่ง
สำหรับธุรกิจบรอดแบนด์ แม้จะยังมีกำไรในระดับขั้นต้น แต่เมื่อรวมต้นทุนของฝ่ายสนับสนุน เช่น บัญชี กฎหมาย และบุคลากรแล้ว ส่งผลให้ภาพรวมขาดทุนราว 700–900 ล้านบาท จากรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ NT ยังเดินหน้าแนวทางการให้บริการ 5G สำหรับหน่วยงานภาครัฐโดยไม่ต้องเข้าประมูลคลื่นความถี่ในเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ระหว่างการหารือถึงความเป็นไปได้ในการใช้คลื่นความถี่เดิมที่ไม่ได้ใช้งาน หรือใกล้หมดอายุ เช่น 2100 MHz, 2300 MHz และ 3500 MHz รวมถึงคลื่นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยถือครอง เพื่อใช้ในการสื่อสารภารกิจพิเศษ เช่น ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน, การแพทย์ทางไกล (เทเลเมดิซีน) และการบริหารในภาวะภัยพิบัติ
ในประเด็นการโอนย้ายลูกค้าระบบเดิม พ.อ.สรรพชัยย์ ยืนยันว่าได้ส่งแผนให้ กสทช. แล้วอย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบันมีลูกค้าย้ายระบบแล้วกว่า 700,000 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเปลี่ยนซิมการ์ดหรือจัดหาอุปกรณ์ใหม่ให้รองรับระบบใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่อง
"การเดินหน้าเปิดรับพันธมิตรในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความต้องการจะขายกิจการ แต่เป็นความจำเป็นเพื่อให้องค์กรสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาอธิปไตยขององค์กร และไม่กระทบต่อหลักการครอบครองทรัพย์สินของรัฐ เราต้องเปิดรับข้อเสนอทุกทาง เพื่อหาวิธีอยู่รอดให้ได้ โดยไม่สูญเสียอธิปไตยขององค์กรหรือทรัพย์สินรัฐ การหาพันธมิตรที่เหมาะสม ไม่ใช่เพราะอยากขาย แต่เพราะจำเป็นต้องทำ" พ.อ.สรรพชัยย์ กล่าว