xs
xsm
sm
md
lg

AI ไม่ซ้ำรอย NFT ฟัง CEO Red Hat ฟันธง “แรงดีไม่แผ่วปลาย” (Cyber Weekend)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เร้ดแฮท (Red Hat) เจ้าพ่อโอเพ่นซอร์สมั่นใจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แรงดีไม่มีทางแผ่วปลายเหมือนสมัยที่สกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตฯ (Cryptocurrency) และเหรียญดิจิทัลเอ็นเอฟที (Non-Fungible token) เคยฮือฮาแล้วเสื่อมความนิยมลง ล่าสุด Red Hat เติมพัน AI เต็มที่โดยมุ่งเป็นผู้นำแพลตฟอร์มเปิดสำหรับ AI การันตี Red Hat AI Inference Server ใหม่ปลดล็อกนำ Generative AI ใช้ได้กับทุกโมเดล ทุกระบบ และทุกคลาวด์

แมตต์ ฮิกส์ (Matt Hicks) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เร้ดแฮท กล่าวในงาน Virtual Media Roundtable ว่าภาพรวมทิศทางของ Red Hat จากนี้จะมุ่งเน้นการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มเปิดสำหรับ AI และการทำงานร่วมกับ Ecosystem อย่างใกล้ชิด โดยย้ำว่า Red Hat AI Inference Server ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่จะช่วยให้สามารถนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ไปรันบนคลัสเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรสามารถรันโมเดล AI ของตัวเองบนฮาร์ดแวร์เร่งความเร็ว (accelerators) อะไรก็ได้ ในสภาพแวดล้อมไหนก็ได้ที่ต้องการ



“บทบาทและจุดยืนของ Red Hat ในยุค AI คือการเป็น Platform Company และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานในยุค AI ที่ทำให้ GPU หรือ accelerator ทุกชนิดทำงานร่วมกันได้ และให้โมเดล AI ทุกรูปแบบรันบนนั้นได้อย่างอิสระ โดยเน้นเรื่องทางเลือกและความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า พร้อมกับยึดมั่นในหลักการ "Open Source" เพื่อให้แพลตฟอร์มเปิดกว้างและน่าเชื่อถือ”



 แมตต์ ฮิกส์ (Matt Hicks) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Red Hat
แมตต์ย้ำว่าวันนี้ยักษ์ใหญ่สีฟ้า IBM เลือกใช้เทคโนโลยีของ Red Hat เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ IBM รวมถึง WatsonX AI โดยให้บริการ Red Hat AI Inference Server ให้กับ WatsonX ซึ่งถือเป็นชุดซอฟต์แวร์สำหรับทำเซิร์ฟเวอร์เพื่อรันงาน AI โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ vLLM ที่เป็นโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัย University of California, Berkeley และใช้เทคนิคจัดการหน่วยประมวลผล GPU รวมถึงเทคนิคอื่นเพื่อให้โมเดลรันในเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือฮาร์ดแวร์ทั่วไปได้



Red Hat AI Inference Server จึงสามารถทำงานบน GPU ทุกค่ายทั้ง NVIDIA, AMD และ Google TPU รวมถึงการรันบนระบบปฏิบัติการ Linux ค่ายอื่นได้ รองรับทั้งคลาวด์และ on-premise โดยค่าใช้จ่ายจะคำนวณตาม GPU หรือชิปเร่งความเร็ว AI



***พร้อมพา AI ตามรอย Linux



Red Hat เชื่อว่าการช่วยให้องค์กรรันโมเดล AI ของตัวเองบนฮาร์ดแวร์ไหนก็ได้ที่ต้องการ คือรูปแบบความสำเร็จที่โลกเคยเห็นมาแล้วตั้งแต่ยุคลินุกซ์ (Linux) มาจนถึงเซิร์ฟเวอร์แนวคิดคูเบอร์เนทิส (Kubernetes) และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับ vLLM ในโลกของ AI




สำหรับการที่ Red Hat มองตัวเองเป็นบริษัทแพลตฟอร์ม นั้นเปลี่ยนแปลงจากเดิมซึ่งเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์ และสร้างฐานที่มั่นคงให้แอปพลิเคชัน แต่พอมาถึงยุค AI แกนของ Red Hat คือการทำให้ GPU หรือองค์ประกอบทุกชนิดทำงานร่วมกันได้ และให้โมเดล AI ทุกรูปแบบรันบนนั้นได้อย่างอิสระ 



เรื่องนี้ต้องนึกภาพย้อนกลับไปในยุคที่ Linux เข้ามาเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี ด้วยพลังของชุมชน Open Source ที่ร่วมมือกัน Linux ทำให้องค์กรทั่วโลกโลกสามารถรันซอฟต์แวร์ได้บนฮาร์ดแวร์ทั่วไป โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบราคาแพงเฉพาะเจาะจง และที่สำคัญ ช่วยให้องค์กรทั่วโลกประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาล Red Hat มองเห็นว่า AI ในวันนี้ ก็มีศักยภาพที่จะเดินตามรอยนั้นได้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่การทำให้ AI เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเท่าเทียม



ในส่วนความเป็น Open Source ของ AI ยักษ์ใหญ่อย่าง Red Hat ชี้ว่าจะไม่มีความหมายเลยถ้าขาดชุมชน (Community) ที่แข็งแกร่ง โดยยกให้ Google เป็นพันธมิตรที่มีส่วนสำคัญของการพัฒนา Red Hat AI Inference Server ไม่ต่างจากช่วงที่ร่วมมือกันพัฒนา Kubernetes มาก่อนหน้านี้ โดยนอกจาก Google แล้วยังมีพาร์ทเนอร์อีกมากมายที่เชื่อว่าการใช้งานได้กับ “ทุกคลาวด์ ทุกตัวเชื่อมต่อ กับทุกโมเดล” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ค่ายใดค่ายหนึ่ง นั้นจะทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้เร็วและขยายขนาดได้ทันใจ


เมื่อพูดถึงตลาดในเอเชียแปซิฟิก Red Hat ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตลาด AI ในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างรวดเร็วมาก คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของตลาดโลก ซึ่งถือว่าสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเทรนด์อื่น ขณะเดียวกัน นวัตกรรมในภูมิภาคนี้ก็ล้ำลึกไม่แพ้ใคร ลูกค้าจำนวนมากจึงเลือก Red Hat เพราะทางเลือกของแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าเริ่มจากโปรเจ็กต์เล็กแล้วจึงทยอยขยายได้ตามความต้องการ ตลาดที่สำคัญของบริษัทคืออินเดีย จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังบูมเรื่อง AI อย่างมาก และ Red Hat มีการตั้งทีมเฉพาะภูมิภาคเพื่อทำงานร่วมกับ ISV (ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ) โดยตรง



***ไม่มีทางแผ่วปลาย

มีคำถามน่าคิดว่า กระแส AI ปัจจุบันจะเหมือนกับ Crypto หรือ NFT ที่เคยฮือฮาแล้วก็แผ่วไปหรือไม่ ผู้บริหาร Red Hat ตอบชัดเจนว่าไม่ใช่เลย เพราะคนที่กังวลอาจจะตัดสินเร็วเกินไป เนื่องจาก AI ต่างกับ Crypto หรือ NFT ตรงที่ความสามารถสร้าง “คุณค่าที่จับต้องได้จริง” และนำไปแก้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจงได้ 

“ถ้าจะเปรียบเทียบ AI น่าจะเหมือนกับตอนที่คลาวด์เข้ามาใหม่ๆ เมื่อ 15 ปีก่อนมากกว่า ซึ่งสุดท้ายคลาวด์ก็เข้ามาเปลี่ยนโลกธุรกิจไปอย่างมหาศาล วงจรการพัฒนา AI จากไอเดียไปสู่มือผู้ใช้จริงนั้นสั้นลงอย่างน่าทึ่ง และเราเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมแล้ว”

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือตลาดเวอร์ชวลไลซั่น (Virtualization) หลังจากเหตุการณ์บรอดคอม (Broadcom) เข้าซื้อวีเอ็มแวร์ (VMware) แล้วเกิดความกังวลเรื่องราคาที่อาจสูงขึ้น ทำให้ลูกค้าจำนวนมากมองหาทางเลือกใหม่ ผู้บริหารยืนยันว่าโซลูชันโอเพ่นชิฟต์ (OpenShift Virtualization) ของ Red Hat กลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นขึ้นมา มีการยกตัวอย่างลูกค้าอย่าง Ford, Emirates และ AMD ที่พูดถึงการลดต้นทุนการเป็นเจ้าของได้ถึง 77% เมื่อย้ายมาใช้ OpenShift Virtualization บน CPU ของ AMD โดยยืนยันว่า OpenShift เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่รองรับทั้ง VM แบบดั้งเดิมและคอนเทนเนอร์ แถมยังเป็นฐานสำหรับ AI ในอนาคตด้วย

เมื่อพูดถึงพาร์ทเนอร์กลุ่มผู้ให้บริการรายใหญ่ (Hyperscaler) ผู้บริหารย้ำว่า Red Hat ทำงานร่วมกับ AWS, Azure, IBM Cloud, Google Cloud มานานแล้ว พอมาถึงยุค AI การทำงานร่วมกันก็ยังคงดำเนินต่อไป มีการนำโซลูชันของ Red Hat ไปรวมกับของพาร์ทเนอร์อื่นแล้วขายผ่านระบบมาร์เก็ตเพลส ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับโซลูชัน AI ในอนาคต


ในส่วนเรื่องความปลอดภัยของ AI ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส Red Hat มองว่าความโปร่งใสของมาตรฐานเปิดจะช่วยให้ทุกคนตรวจสอบซอฟต์แวร์ได้ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะปลอดภัยกว่าระบบปิดด้วยซ้ำ สำหรับโมเดล AI แบบโอเพนซอร์ส มักจะเปิดเผยไลเซนส์ของตัวโมเดล ทำให้คนนำไปใช้ ปรับแต่ง (tune) และเผยแพร่ต่อได้ ส่วนข้อกังวลเรื่องข้อมูลที่โมเดลสร้างขึ้น (output) หรือการทำงานผิดพลาด ก็มีการพัฒนารั้วกั้นหรือ “Guardrail” หรือเครื่องมือป้องกันอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาทั้งในโมเดลแบบปิดและแบบเปิด Red Hat เชื่อว่ายิ่งกระบวนการเปิดกว้างเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยปรับปรุงความปลอดภัยได้ดีขึ้นเท่านั้น

หากมองไปข้างหน้า Red Hat เห็นว่า “AI Agent” หรือระบบ AI ที่ทำงานอัตโนมัติตามคำสั่ง จะเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมาก และเมื่อพูดถึงไฮบริดคลาวด์ แมตต์ก็ย้ำว่า AI ยิ่งทำให้แนวคิดนี้แข็งแกร่งและจำเป็นมากขึ้น เพราะ AI ต้องการการประมวลผลใกล้แหล่งข้อมูลที่สุด ไม่ว่าจะเป็นที่โรงงาน ร้านค้า หรือในรถยนต์

ที่สุดแล้ว ทิศทางของ Red Hat จึงมุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม AI ที่เปิดกว้าง ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนด้วยพลังของชุมชนโอเพ่นซอร์ส ซึ่งจะต่อยอดให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นกระแสแรงดี ไม่มีแผ่วปลายซ้ำรอย NFT แน่นอน.


กำลังโหลดความคิดเห็น