xs
xsm
sm
md
lg

อัปเดท"สงครามส่งด่วน"ยุคใหม่ ถอดรหัส AI เบื้องหลังศึกโลจิสติกส์ดิจิทัล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลังจากดูซีรีส์ "สงครามส่งด่วน" แล้ว หลายคนเห็นได้ว่าการแข่งขันในวงการนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ความเร็วหรือราคาเท่านั้นแต่อยู่ที่เทคโนโลยี

วันนี้ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวงการโลจิสติกส์อย่างสิ้นเชิง จากการคาดการณ์ล่วงหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพ ไปจนถึงการให้บริการที่ดีขึ้น แน่นอนว่าบริษัทไหนที่ปรับตัวทันและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เร็วที่สุด อาจจะเป็นผู้ชนะในสงครามส่งด่วนแห่งอนาคตก็ได้

***5 วิธี AI ปฏิวัติโลจิสติกส์ดิจิทัล


หลังจากที่ซีรีส์ "สงครามส่งด่วน" กำลังฮิต หลายคนได้เห็นภาพการแข่งขันในวงการขนส่งและพัสดุในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สำหรับโลกยุคใหม่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทมากขึ้นในการทำให้พัสดุหลายหมื่นกล่องถูกจัดส่งได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งหากนับนิ้วแล้วมีไม่ต่ำกว่า 5 วิธีที่ปัญญาประดิษฐ์จะถูกใช้ในระบบโลจิสติกส์ดิจิทัลที่กำลังปฏิวัติวงการขนส่งทั่วโลก


วิธีแรกคือการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) เพราะถ้าเครื่องคอนเวเยอร์เบลต์ หรือสายพานในโรงคลังสินค้าหยุดทำงานกะทันหัน ผลที่เกิดขึ้นจะไม่เพียงแค่การส่งพัสดุล่าช้า แต่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมฉุกเฉินอาจสูงถึง 40% เมื่อเทียบกับการบำรุงรักษาแบบป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า

AI เข้ามาช่วยได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลในเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน จากนั้นจะคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเครื่องจักรหรือสายพานเส้นไหนจะเสียเมื่อไหร่ การศึกษาพบว่าอาจช่วยลดเวลาหยุดทำงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้เกิน 10%


วิธีที่ 2 คือการเอา AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า (Fulfillment Optimization) การสั่งของออนไลน์และได้รับพัสดุภายในวันเดียวนั้นเป็นไปได้เพราะ AI ตั้งแต่การประมวลผลคำสั่งซื้อ การตรวจสอบความผิดพลาดในข้อมูล เช่น ที่อยู่ผิด หรือสินค้าที่ไม่เข้ากัน รวมถึงการหยิบและบรรจุ เพื่อจัดเส้นทางการเดินในคลังสินค้าให้เหมาะสม รวมสินค้าที่อยู่ใกล้กันในคำสั่งซื้อหลายๆ รายการ ทั้งหมดนี้ต้องมีระบบการจัดส่งอัจฉริยะที่เลือกขนส่งที่เหมาะสม เส้นทางที่ดีที่สุด และติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ได้

ผลลัพธ์จากระบบ AI ส่วนนี้จะลดความผิดพลาดลงได้ ส่งให้ความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มขึ้น และการคืนสินค้าน้อยลง

วิธีที่ 3 คือการหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด (Route Optimization) ระบบส่งพัสดุนั้นคล้ายกับการใช้กูเกิลแม็ปส์ (Google Maps) หาเส้นทางที่เดินทางได้ง่ายที่สุด แต่การจัดส่งพัสดุหลายร้อยหรือหลายพันกล่องในวันเดียวนั้นจะง่ายขึ้นถ้ามี AI มาช่วย ทั้งส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์จราจร GPS และพยากรณ์อากาศแบบเรียลไทม์ การคิดเส้นทางที่ประหยัดเชื้อเพลิงและเวลาที่สุด รวมถึงการเสนอให้ปรับเปลี่ยนเส้นทางทันทีเมื่อเจอการจราจรติดขัดหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด

การใช้ AI ในส่วนนี้จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้มาก ส่งให้เวลาส่งเร็วขึ้น ความปลอดภัยของคนขับก็เพิ่มขึ้น ซึ่งนี่เองที่เป็นเหตุผลที่บริการส่งด่วนสมัยนี้แม่นยำขนาดบอกได้ว่าของจะถึงกี่โมง


วิธีที่ 4 คือการจัดการสต็อกสินค้าอัจฉริยะ (AI-Powered Inventory Management) ที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ของการขายออนไลน์คือสินค้าหมดสต็อก และ สต็อกเหลือเกิน เทคโนโลยี AI จะเข้ามาแก้ปัญหาได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการขายในอดีต พฤติกรรมลูกค้า และเทรนด์ตลาดแบบเรียลไทม์ ทำให้ระบบทำนายความต้องการล่วงหน้าได้แม่นยำ และเสนอให้ปรับระดับสต็อกได้อัตโนมัติ

การใช้เทคโนโลยีในส่วนนี้จะลดปัญหาสินค้าหมดสต็อก ขณะเดียวกันก็ประหยัดค่าเก็บสินค้าที่ไม่จำเป็น และเร่งเวลาจัดส่งเร็วขึ้นได้อีกเพราะสินค้าพร้อมอยู่เสมอ

วิธีที่ 5 คือการพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting) ถือเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดที่ AI สามารถยกระดับโลจิสดิกส์ได้ เนื่องจาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งประวัติการขาย โซเชียลมีเดีย เทรนด์ตลาด โดยสามารถดูรูปแบบและพฤติกรรมของลูกค้า แล้วเสนอให้ปรับกลยุทธ์การตลาดได้ตรงกับความต้องการ


อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้กับโลจิสติกส์ยังไม่ใช่เรื่องง่าย อุปสรรคสำคัญคือต้นทุนการลงทุนที่สูง ทั้งเครื่องมือและการฝึกอบรมพนักงาน ขณะเดียวกันคนที่เข้าใจทั้ง AI และโลจิสติกส์นั้นมีไม่มาก เรียกว่าขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญอยู่ ที่สำคัญคือความกังวลเรื่องความปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลลูกค้าซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

***AI แค่น้ำจิ้ม

นอกจาก AI เทคโนโลยีมากมายกำลังจะเปลี่ยนวงการโลจิสติกส์ไปในทิศทางที่โลดโผนและทรงพลัง ส่งให้การแข่งขันในอนาคตดุเดือดเผ็ดมันยิ่งขึ้น

เทรนด์ที่เห็นชัดในขณะนี้คือโลกธุรกิจการส่งของนั้นจะไม่ใช่การแข่งแค่ความเร็ว แต่เป็นการแข่งความเร็วแบบเหนือจินตนาการ ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีอย่าง *โดรนส่งของ* จะกลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนภาพในซีรีส์ที่พัสดุกำลังบินตรงจากคลังมาถึงหน้าบ้านในเวลาไม่กี่นาที โดยใช้ AI ควบคุมเส้นทางบินให้หลบสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ


ไม่เพียงโดรน *รถส่งของไร้คนขับ* ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ก็อาจวิ่งไปตามถนนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรถติด เพราะระบบ AI จะคำนวณเส้นทางที่ดีที่สุดแบบเรียลไทม์ให้แล้ว

และที่เจ๋งยิ่งกว่านั้นคือ การใช้ *Blockchain* ในโลจิสติกส์ แม้จะฟังดูไกลตัว แต่จริงๆ มันคือเทคโนโลยีที่จะทำให้ทุกขั้นตอนโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น ตั้งแต่ตอนที่นักช็อปกดสั่งของ ไปจนถึงตอนที่พัสดุถึงมือ ทุกคนจะรู้ได้ทุกขั้นตอนว่าใครจัดการกล่องพัสดุนั้นบ้าง ทำให้ไม่ต้องกลัวของหายหรือถูกสลับอีกต่อไป

ส่วนเรื่อง *ความยั่งยืน* ก็สำคัญไม่แพ้กัน ในอนาคต บริษัทโลจิสติกส์จะใช้ข้อมูลจาก Big Data และ Machine Learning เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เช่น วางแผนเส้นทางส่งของให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุด หรือใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้วในบริษัทอย่าง Flash Express ที่พยายามผลักดันแนวคิดนี้

เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้แค่ทำให้ส่งของเร็วขึ้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีการช้อปออนไลน์ด้วย
สรุปแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้แค่ทำให้ส่งของเร็วขึ้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีการช้อปออนไลน์ วิธีที่ธุรกิจบริหารสต็อก หรือแม้แต่วิธีที่ทุกคนคิดถึงการขนส่ง

ดังนั้น อนาคตของโลจิสติกส์กำลังจะกลายเป็นสนามแข่งของนวัตกรรมที่ทั้งฉลาด เร็ว และดีต่อโลกใบนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น