หัวเว่ย ย้ำวิสัยทัศน์ผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ (AI) แห่งอาเซียน พร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อคนไทยและเศรษฐกิจไทย
นายเดวิด ลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงเวลาปีที่ผ่านมาความก้าวหน้าของ AI ได้แสดงให้เห็นทั้งในมุมของประสิทธิภาพ และต้นทุนที่ลดลง ทำให้เกิดการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) อย่าง GPT, DeepSeek หรือ PanGu ของ HUAWEI ได้แสดงให้เห็นถึงการนำ AI ที่ซับซ้อน ไปใช้งานบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว การลดอุปสรรคนี้ ได้กระตุ้นการลงทุนในศูนย์ข้อมูล และทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค
ที่ผ่านมา HUAWEI มีการลงทุนศูนย์ข้อมูลในไทยไปกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัล และสนับสนุนอีโคซิสเมศ ซึ่งต้องการแบนด์วิดท์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าในปี 2030
“AI มาถึงในเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและอัจฉริยะของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะเติบโตเร็วกว่า GDP 3-5 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า”
พร้อมกันนี้ หัวเว่ย ยังได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของหัวเว่ย ต่อประเทศไทยภายใต้หลักการ "ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย" (In Thailand, For Thailand) ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาการสื่อสาร เศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
"ในขณะที่ประเทศไทยต้องการที่จะเป็นศูนย์กลาง AI ของอาเซียน หัวเว่ยให้คำมั่นว่าจะใช้ประโยชน์จากเน็ตเวิร์ก, การนำโมเดลภาษาขนาดใหญ่, โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และโซลูชันต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง นวัตกรรม และสร้างระบบนิเวศท้องถิ่นที่เจริญรุ่งเรือง"
นายวิลเลียม ตง ประธานฝ่ายการตลาดของหัวเว่ย คลาวด์ ได้กล่าวเสริมถึงความสำคัญของ AI ในการกำหนดอนาคต โดยชี้ให้เห็นถึงการลงทุนใน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมา
"มีการพัฒนาโมเดล AI ที่สามารถลดต้นทุนการฝึก และใช้งานได้อย่างมาก แสดงให้เห็นแนวทางที่จะทำให้ AI ทั้งฉลาด และ คุ้มค่ามากขึ้น เราได้เห็นการพัฒนาของ DeepSeek ที่ใช้ต้นทุนถูกกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับ GPT 4.1 กันแล้ว”
สำหรับประเทศไทย หัวเว่ย คลาวด์ ยังเน้นย้ำเรื่องสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิด Cloud Region แห่งแรกในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ในปี 2018 และ 3 AZs (Availability Zones) ในปี 2022 รวมถึงการสนับสนุนลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ
พร้อมกันนี้ HUAWEI ได้นำเสนอ 3 กลยุทธ์สำคัญสำหรับ AI ที่ประกอบด้วย 1.การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) บริษัทต้องเปลี่ยนจากการ "ใช้คลาวด์เป็นหลัก" (Cloud Native) ไปสู่ "ใช้ AI เป็นหลัก" (AI Native) โดยนำ AI มาปรับใช้เพื่อกำหนดนิยามใหม่ให้กับแอปพลิเคชัน ผลิตภัณฑ์ และกระบวนการทำงาน
2.แนวปฏิบัติในอุตสาหกรรม (Industry Practice) เพื่อความได้เปรียบในการนำ AI มาใช้ ที่เข้าไปผสานกับความรู้และประสบการณ์เฉพาะในอุตสาหกรรม หัวเว่ยได้ยกตัวอย่างการนำ AI ไปใช้ในกว่า 30 อุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาจริง เช่น การพยากรณ์อากาศ หรือการวิจัยยา
3.ระบบนิเวศของบุคลากร AI (AI Talent Ecosystem) ปัจจุบันมีความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถสูงที่เข้าใจทั้งภาคอุตสาหกรรมและ AI ในจุดนี้หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นในการฝึกอบรมบุคลากร AI และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาบุคลากร AI ในท้องถิ่น
ทั้งนี้ ผู้บริหารได้เปรียบเทียบการลงทุนใน AI กับการปลูกต้นไม้ว่า "เวลาที่ดีที่สุดคือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และเวลาที่ดีเป็นอันดับสองคือ 'ตอนนี้'" พร้อมปลุกให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยร่วมมือกัน "คว้าโอกาสของ AI" เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคอัจฉริยะ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง AI ของเอเชีย และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคน