โดย มิสเตอร์อังเดร บาร์รอส ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และโครงการ บริษัท ลิมิกซ์ จำกัด
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การปฏิวัติด้านอัตลักษณ์ดิจิทัล จากความไม่แน่นอนของเทคโนโลนยีบล็อกเชนในระยะเริ่มแรก กลายเป็นหนึ่งในระบบพิสูจน์ตัวตนแบบกระจายตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงที่สุดในเอเชีย วันนี้แผนแม่บทด้านความมั่นคงของบล็อกเชนในประเทศไทยไม่ใช่แผนงานและเป้าหมายในอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่มีกฎหมายรองรับ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเป็นก้าวที่สำคัญในก้าวสู่ดิจิทัลของประเทศ
จากความเปราะบางสู่การตรวจสอบยืนยันตัวตน
ภาคบริการทางการเงินและดิจิทัลของประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งกรอบการกำกับดูแลที่ยังขาดความไม่ชัดเจน และกระบวนการยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัยทางการเงิน (KYC : Know your Customer) แบบแมนนวลที่ใช้ใช้แรงงานคนจำนวนมาก และการเพิ่มขึ้นของการฉ้อโกงเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตามสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น ภายหลังการจัดตั้งบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID - National Digital ID มีบทบาทหลักในการยืนยันตัวตนดิจิทัล) ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาจากบล็อกเชนแบบกระจายตัว โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทยและความร่วมมือจากภาคเอกชน
ปัจจุบัน NDID มีผู้ใช้งานมากกว่า 9 ล้านราย และเริ่มใช้พิสูจน์ตัวตนระหว่างธนาคารและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยมีอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% และเป็นข่าวดีที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตของภาครัฐได้ทำให้คนไทยมากกว่า 40 ล้านคน ได้ผ่านการพิสูจน์ตัวตนดิจิทัลที่น่าเชื่อถือสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านออนไลน์
จากกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ วิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าของไทย
แผนงานความมั่นคงของบล็อกเชนในประเทศไทยเป็นกรอบการทำงานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อถือและการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน เพื่อให้สามารถใช้งานได้จริงด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างระบบการพิสูจน์ตัวตนดิจิทัลที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
1. อัตลักษณ์ที่บุคคลเป็นผู้ถือครอง
ประเทศไทยกำลังเร่งเปิดตัวระบบอัตลักษณ์ที่บุคคล/เจ้าของเป็นผู้ถือครองหรือปกครอง (Self-Sovereign Identity: SSI) ซึ่งช่วยให้บุคคลควบคุมข้อมูลดิจิทัลของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ระบบการยืนยันตัวตนเหล่านี้เข้ากันได้กับมาตรฐานสากล เช่น W3C Verifiable Credentials หรือมาตรฐานข้อมูลประจำตัวดิจิทัลที่เข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันการปลอมแปลง จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการกับสถานะการยืนยันตัวตนดิจิทัลของตนเองได้ สำหรับการใช้บริการธนาคาร บริการของรัฐ ประกันภัย การศึกษา และการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ โดยระบบการยืนยันตัวตนแบบอิสระนี้จะสามารถใช้งานได้ภายในกลางปี 2568 ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่ได้รับการรับรองจากภาครัฐและธนาคาร
2. KYC ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวด้วย Zero-Knowledge Proofs (ZKPs)
เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและปฏิบัติตามกฎระเบียบ เทคโนโลยีการพิสูจน์ทราบว่าเป็นเจ้าของข้อมูลที่แท้จริง (ZKP: Zero-Knowledge Proof) ได้ถูกนำมาใช้กับโครงสร้างพื้นฐานการพิสูจน์ตัวตนดิจิทัลในประเทศไทย โดยโครงการนำร่องกำลังดำเนินการเพื่อให้บุคคลสามารถพิสูจน์คุณลักษณะต่างๆ เช่น อายุ โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลประจำตัวทั้งหมด ช่วยลดการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลขณะที่ยังคงปฏิบัติตามกฎข้อบังคับได้ มีการคาดกาณ์ว่าการนำ ZKP มาใช้จะทำให้การยืนยันตัวตนดิจิทัลเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 และ 2569 ในหลายภาคส่วนทั้ง สินทรัพย์ดิจิทัล การให้กู้ยืมออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ
3. สัญญาในรูปแบบดิจิทัล (Smart Contract) ที่มาพร้อมการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
เมื่อแอปพลิเคชันการพิสูจน์ตัวตนบนบล็อกเชนเติบโตขึ้น แพลตฟอร์มบล็อกเชนในเวอร์ชั่นใหม่จะมาพร้อมกับสัญญาในรูปแบบดิจิทัลสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติเมื่อบรรลุเงื่อนไขที่ถูกระบุไว้ สัญญาเหล่านี้จะสามารถตรวจสอบโดยอัตโนมัติว่าผู้ใช้บริการผ่านการยืนยันตัวตนและกฎระเบียบที่กำหนดไว้ ก่อนจะอนุมัติให้ใช้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น การทำธุรกรรมการเงิน การซื้อขายสินค้า หรือการเล่นเกม ระบบนี้จะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน และช่วยในการบังคับใช้กฎระเบียบ ในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น NFT และโทเค็น
4. ระบบอัจฉริยะด้านความเสี่ยงที่ขับเคลื่อนด้วย AI แบบข้ามแพลตฟอร์ม
การป้องกันการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์จะกลายเป็นมาตรฐานระดับชาติ ระบบที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความผิดปกติในการทำธุรกรรมได้ถูกนำมาใช้กับธนาคาร ตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล และแพลตฟอร์มฟินเทค เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังช่วยบล็อกกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การปลอมแปลงอัตลักษณ์ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ ขณะที่ใน 18 เดือนข้างหน้าจะมีการบูรณาการระบบอัจฉริยะด้านการป้องกันความเสี่ยงเข้ากับธุรกรรมที่ให้บริการกับประชาชนและการกำกับดูแลของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกรรมดิจิทัลทั้งหมดมีความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
จากความไม่แน่นอนสู่พิมพ์เขียวระดับโลก การพัฒนาของประเทศไทย จากการตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของบล็อกเชนสู่การยืนยันตัวตนดิจิทัล แสดงให้เห็นว่าความไว้วางใจและการยืนยันตัวตนแบบกระจายตัวสามารถทำงานร่วมกันได้ โดยการรวมกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดและการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคล ช่วยปิดจุดอ่อน ทำให้ระบบมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือ ที่ลิมิกซ์ (Limix) เชื่อว่า อัตลักษณ์ดิจิทัลที่ปลอดภัยคือ ฐานรากที่โปร่งใส เกิดขึ้นได้ภายใต้ความร่วมมือกับ ศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและการเงินของประเทศไทย (TIDC: Thailand International Digital Business & Finance Centre) เพื่อพัฒนาการตรวจจับการฉ้อโกงด้วย AI โมดูลอัตลักษณ์บนบล็อกเชน และกรอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งจะตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และกฎระเบียบของประเทศไทย
ภายใต้ความร่วมมือกับ TIDC เราไม่เพียงแต่สร้างโซลูชันสำหรับความต้องการยืนตัวตัวตนในปัจจุบัน แต่เรายังวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ประชาชน สถาบัน และแอปพลิเคชันทุกแห่งสามารถให้บริการได้อย่างปลอดภัยในระบบนิเวศแบบกระจายตัว ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคารไปจนถึงบริการดิจิทัลของภาครัฐ การบูรณาการ Web 3.0 ไปจนถึงการนำอัตลักษณ์ไปใช้งานในต่างประเทศ งานของลิมิกซ์มีส่วนสำคัญในการสร้างวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านบล็อกเชนในภูมิภาค
ในขณะที่เราก้าวเดินไปข้างหน้า เรายังคงมุ่งมั่นในการเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านดิจิทัลของไทยให้กลายเป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม สร้างความมั่นใจกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และทำให้อัตลักษณ์ดิจิทัลกลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย สามารถนำไปใช้ได้ในทุกที่ทุกธุรกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารด้านดิจิทัลให้กับคนไทยทุกคน