ทรูล่ม 5 ชั่วโมง วาระเยียวยาถูกเบรก! กสทช.ปิดเสียงประชุม อ้างรัฐบาลเจรจา OTT ดราม่าซ่อนปัญหา ปล่อยผู้บริโภครอเก้อ
เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาเครือข่ายมือถือทรู ล่มนานกว่า 5 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.68 กำลังกลายเป็นชนวนร้อนในสำนักงาน กสทช. หลังมีการเรียกร้องให้พิจารณามาตรการเยียวยาอัตโนมัติ สำหรับผู้ใช้บริการ แต่กลับถูกเบรกกลางวงประชุม หลัง ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ประธาน กสทช.) อ้างรัฐบาลกำลังเจรจาต่างประเทศเรื่อง OTT ทำให้เรื่องทรูล่มถูกกลบเสียงเงียบ
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ เปิดเผยว่า เหตุเครือข่ายล่มเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เปรียบได้กับแผ่นดินไหว ไม่มีใครเตรียมตัวทัน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเร่งหาทางป้องกันในอนาคต โดยตนเสนอให้ กสทช. พิจารณาใช้มาตรการเยียวยาแบบอัตโนมัติ และกำหนดบทลงโทษผู้ให้บริการที่ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพเครือข่ายได้ โดยเฉพาะหากเกิดเหตุซ้ำซาก
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวว่า ในการประชุม กสทช. วันที่ 28 พ.ค.68 มีกรรมการ กสทช. 2 ราย ได้แก่ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ และ พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. ด้านกิจการกระจายเสียง ยื่นหนังสือด่วนที่สุด ขอให้บรรจุเรื่องการล่มของทรูเข้าพิจารณาในวาระเร่งด่วน โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในวงกว้าง ประชาชนไม่สามารถใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ติดต่อกันหลายชั่วโมง จึงควรมีการนำเสนอข้อมูลเหตุการณ์โดยละเอียด พร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน และประเมินความเสียหาย เพื่อประกอบการพิจารณามาตรการเยียวยาและป้องกันในอนาคต
แต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาใดๆ ในวาระดังกล่าว กลับมีการเบรกกลางที่ประชุม หลัง ประธาน กสทช. เสนอให้เลื่อนวาระที่เกี่ยวข้องกับบริการ OTT ออกไปก่อน โดยอ้างว่า ได้รับการประสานจากรัฐบาลว่ากำลังมีการเจรจากับต่างประเทศในเรื่องการกำกับดูแล OTT ทำให้ที่ประชุมสั่งปิดเสียงถ่ายทอด เป็นเวลานาน และไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องทรูล่มกลับมาหารืออีก
ทั้งนี้ แหล่งข่าวย้ำว่า การเลื่อนวาระ OTT นอกจากจะทำให้ประเด็นทรูล่ม ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงการยื้อการตัดสินอนาคตทีวีดิจิทัล ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย OTT อีกด้วย ขณะที่ ในฝั่งของสำนักงาน กสทช.เองก็ยังไม่มีมาตรการเยียวยาแบบอัตโนมัติรองรับกรณีเช่นนี้ โดยใช้หลักคิดเฉลี่ยตามมาตรฐาน QoS (Quality of Service) คล้ายกับระบบธนาคารที่ไม่มีการจ่ายชดเชยกรณีระบบล่ม ทำให้การคำนวณความเสียหายและจำนวนผู้ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องซับซ้อน และยากต่อการชดเชยอย่างเป็นธรรม