xs
xsm
sm
md
lg

HP ลงทุนโรงงานไทยทะลุ 842 ลบ.ปี 67 ลุย Made in Thailand ผงาดฮับส่งออกทั่วเอเชีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอชพี (HP) เทงบลงทุนตั้งโรงงานไทยปี 2567 ทะลุ 842 ล้านบาท เตรียมแผนขยายทีมผลิตคอมพิวเตอร์พีซี (PC) และเครื่องพิมพ์ด้วยการจ้างงาน 1 หมื่นตำแหน่งที่เป็นคนไทย 100% มั่นใจดันไทยเป็นฮับการผลิตส่งออกทั่วภูมิภาค จับตา Made in Thailand ดันเอชพีคว้างานประมูลรัฐมากขึ้นหาก TOR กำหนดว่าสินค้าต้องผลิตในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การผลิตพีซีในประเทศไทยอาจไม่ได้มีผลโดยตรงกับราคาคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กเอชพี จุดนี้ผู้บริหารระบุว่าราคาที่เปลี่ยนไปมักขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและกลไกตลาด มากกว่าฐานการผลิต ล่าสุดสินค้าโน๊ตบุ๊กคอนซูมเมอร์และโน๊ตบุ๊กกลุ่มองค์กรหลายรุ่น ได้รับการรับรอง Made in Thailand แล้ว

***หนุนเศรษฐกิจไทย

นางสาววรานิษฐ์ อธิจรัสโรจน์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี ประเทศไทย กล่าวว่าหลังจากดำเนินธุรกิจในไทยกว่า 36 ปี เอชพีตัดสินใจเปิดโรงงานที่ประเทศไทยในปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มฐานการผลิต โดยเป็นโรงงานที่มีขอบเขตการดำเนินงานค่อนข้างใหญ่ ถือเป็นหลักไมล์ที่สำคัญมากสำหรับพนักงานไทยและคนไทย เนื่องจากจะมีส่วนช่วยทั้งเศรษฐกิจนโยบายองค์รวม ขณะเดียวกันก็ตอกย้ำนโยบายของเอชพีที่ไม่ได้มุ่งทำธุรกิจอย่างเดียว แต่ยังนำความรู้และสิ่งที่ออกแบบในระดับโลกมาให้พนักงานไทย คนไทย และสังคม

“ผลดีจากสายการผลิตในประเทศไทย คือหน่วยงานองค์กรมีความมั่นใจในฐานการผลิตในประเทศ ว่าจะลดความเสี่ยงจากสถานการณ์สินค้าขาดตลาดหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงเพิ่มความเร็วในการจัดส่ง”

ที่ผ่านมาเอชพีมีการจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์แล้วที่จังหวัดเพชรบุรี โดยเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยล้วนผลิตจากโรงงานนี้ จนกระทั่งปี 2567 จึงตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์พีซีขึ้นที่จังหวัดชลบุรีและเริ่มต้นผลิตในช่วงกลางปี มีการพาพันธมิตรไปเยี่ยมชมโรงงาน รวมถึงหน่วยงานองค์กรไทยที่ให้ความสนใจ เนื่องจากมีนโยบายที่ต้องการส่งเสริมธุรกิจในไทย รวมถึงต้องการสัมผัสกระบวนการผลิตที่ใช้วัสดุที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน

วรานิษฐ์ อธิจรัสโรจน์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี ประเทศไทย
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ที่ชลบุรี เอชพีวางแผนให้ดำเนินการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก รวมถึงจัดจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ในกระบวนการตามแผนงานที่เอชพีมุ่งมั่นปฏิบัติตามเพื่อให้ประเทศไทยเป็นขุมกำลังหลักในการผลิตสินค้า เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจไทย โดยเอชพีเผยว่าพยายามทำงานร่วมกันกับภาครัฐหลายหน่วยงาน ซึ่งไม่ใช่แค่กระทรวงอุตสาหกรรม แต่มีการทำงานร่วมกับกระทรวงการศึกษา และมีการทำโครงการให้ความรู้ พูดคุยกับนักเรียน มีการเข้าไปมอบเครื่องพิมพ์และพีซี เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้และเป็นกำลังของเศรษฐกิจต่อไป

***ทยอยขยายไลน์ผลิต

HP ยังไม่เปิดเผยกำลังการผลิตที่ชัดเจนของโรงงานแห่งใหม่ ระบุเพียงว่าทีมซัพพลายเชนของบริษัทเริ่มกระบวนการเลือกโรงงานจากหลายประเทศตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด 2019 โดยยืนยันว่าโรงงานแห่งนี้ดำเนินการตามมาตรฐานกระทรวงอุตสาหกรรม และได้จดทะเบียนเพื่อขอคำรับรอง ”เมดอินไทยแลนด์” ให้ถูกตามกระบวนการเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศไทย โดยหากคำนวณตามประเภทของสินค้า สินค้าเอชพีที่วางจำหน่ายในประเทศไทยวันนี้ราวครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าเมดอินไทยแลนด์ แต่หากคำนวณตามจำนวนสินค้าในตลาด สินค้าเมดอินไทยแลนด์จะน้อยกว่านั้น ในส่วนนี้เอชพีต้องการขยายให้ได้มากที่สุด

“ปัจจุบันสินค้าสินค้าโน๊ตบุ๊กเอชพีราว 40 ถึง 50% เป็นสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ที่เหลือกำลังทยอยเพิ่มสัดส่วนตามแผน เบื้องต้นมีแผนขยายการรับรองเมดอินไทยแลนด์สู่ผลิตภัณฑ์อื่นให้ได้หลากหลายที่สุด เพื่อตอบโจทย์นโยบายของหน่วยงานที่ต้องการสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ทั้งภาพรัฐและเอกชนที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่ยั่งยืนในประเทศไทย ดังนั้นจึงถือเป็นหน้าที่ของเอชพีที่จะขยายสินค้าเมดอินไทยแลนด์ให้ครบและมากที่สุด”

โรงงานดังกล่าวจะไม่รวมการผลิตคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์แบรนด์เอชพี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่แยกจากกัน ในภาพรวมเชื่อว่าประโยชน์ของโรงงานนี้คือตอบโจทย์ลูกค้าทั้งการส่งของได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ รวมถึงการสนับสนุนสินค้าเมดอินไทยแลนด์ที่หน่วยงานรัฐมีการประกาศออกมาอยู่แล้ว โดยเอชพีเป็นบริษัทเดียวในตลาดที่มีการตั้งสายการผลิตในประเทศไทย ที่ครบทั้งส่วนโน๊ตบุ๊กและ เครื่องพิมพ์

  ดร. อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี และ วรานิษฐ์ อธิจรัสโรจน์
ในขณะที่จุดประสงค์หลักของโรงงานนี้คือการส่งออก และตลาดพีซีของประเทศไทยนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สินค้าจากโรงงานนี้จึงมุ่งส่งออกไปที่ประเทศอื่นในเอเชียซึ่งเป็นตลาดหลักของโน๊ตบุ๊ก สถานการณ์นี้เชื่อว่าจะเป็นผลดีในปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดพีซีมีสัญญาณบวก ทั้งการเข้าช่วงเปลี่ยนเครื่องขององค์กร การหยุดซัปพอร์ตเวอร์ชั่นเก่าของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ รวมถึงการใช้งานปัญญาประดิษฐ์

“ปัจจัยเหล่านี้มาหมด เอชพีไม่โตไม่ได้ คาดว่าจะโตมากกว่าการเติบโตของตลาดรวม”

***ไม่มีแน่ “ติดตรา Made in Thailand ส่งออกเพื่อหลบภาษี“

ดร. อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่าปี 2567 เอชพีได้ลงทุนในประเทศไทยมูลค่ารวม 842 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะเพิ่มการจ้างงานคนไทยเกิน 1 หมื่นคน สถิติเหล่านี้สะท้อนความยิ่งใหญ่ด้านการลงทุนในประเทศ คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลดีกับผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) จากประวัติการทำงานของบริษัทที่พบว่าช่วงปี 67-68 เอชพีสามารถผลิตคอมพิวเตอร์และจำหน่ายได้กว่า 8 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทซึ่งมีโอกาสผลักดัน GDP ของไทยได้

“กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายกำกับดูแลมาตรฐานสินค้า ร่างกฏหมายการจัดการกากอุตสาหกรรม การดูแลขยะอิเล็กทรอนิกส์ เราจับทุกวัน ที่เรากลัวคือการประทับตรา Made in Thailand จะได้ส่งออกสินค้าไปเพื่อหลบภาษี เราเข้าไปกวดขันเรื่องนี้และบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวด เราสนธิกำลังเข้าโซนศูนย์เหรียญ มีการเฝ้าระวังติดตามร้านที่ขายบนโซเชียลมีเดียเพื่อควบคุมมาตรฐานสินค้าที่นำเข้ามาวางจำหน่ายในไทย เช่นเดียวกับการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะไม่มีในไทยอีกต่อไป จะมีการเปิดตู้ตรวจ โดยเฉพาะตู้สินค้ามือสองที่หากเปิดมาแล้วเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ จะไม่อนุญาตให้นำเข้าประเทศ”

  ดร. อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ดร. อรรถวิชช์ ชี้ว่าการส่งเสริมการผลิตในไทยมีความสำคัญ โดยสิ่งที่แบรนด์สินค้าจะได้รับ คือสิทธิประโยชน์พิเศษของการเข้าประมูลงาน ที่หลายกรณีมีการระบุว่าสินค้าที่เข้าประมูลจะต้องผลิตในประเทศไทย ถือเป็นมาตรการที่ช่วยยกระดับการผลิตสินค้าในประเทศให้ดียิ่งขึ้น

การเปิดโรงงานครั้งนี้ของเอชพีเกิดขึ้นท่ามกลางข่าวลือว่าเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก กำลังเตรียมย้ายฐานการผลิตกว่า 50% ออกจากจีน โดยเล็งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคำถามที่น่าสนใจคือนี่เป็นเพียงการย้ายโรงงาน หรือคือการพลิกสมดุลอำนาจในโลกเทคโนโลยี เนื่องจากการตัดสินใจครั้งนี้ของเอชพีอาจเกี่ยวข้องกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งโยงได้กับการขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน กับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ถึงผลักดันให้บริษัทยักษ์ใหญ่เทหน้าตักมายังอาเซียน

และไม่ใช่เอชพีรายเดียว รายงานจากต่างประเทศชี้ว่าเดลล์ (Dell), แอปเปิล (Apple), ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ต่างก็กำลังเร่งกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน และอาจเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์การผลิตของโลก ดังนั้นการย้ายฐานผลิตรอบนี้จึงเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเทคโนโลยี ความเสี่ยงในอนาคต และโอกาสในการสร้างอิทธิพลใหม่ของภูมิภาคอาเซียน

ปัจจุบัน เอชพีเคลมตัวเองเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดเครื่องพิมพ์ทั่วโลก ครองแชมป์ในตลาดองค์กรใหญ่ทั้งคอมพิวเตอร์พีซีและพรินเตอร์ ดำเนินธุรกิจมากกว่า 170 ประเทศ โดยนำเสนออุปกรณ์ทั้งกลุ่มคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การพิมพ์ การพิมพ์แบบ 3 มิติ การทำงานรูปแบบไฮบริด และการเล่นเกม 

สำหรับตลาดรวมพีซี การ์ทเนอร์พบว่าไตรมาสแรกปี 2568 ยอดจัดส่งพีซีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4.8% การอัปเกรดระบบปฏิบัติการ Windows 11 และการเพิ่มสินค้าคงคลังเพื่อป้องกันผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนุนการเติบโต ซึ่งจากผลการวิเคราะห์เบื้องต้นของการ์ทเนอร์ พบว่าไตรมาสแรกของปี 2568 มียอดการจัดส่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซีทั่วโลกรวม 59 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 4.8% จากไตรมาสแรกของปี 2567 ส่วนยอดจัดส่งพีซีในสหรัฐฯ ไตรมาสแรกปีนี้เติบโตขึ้น 12.6% แตะ 16 ล้านเครื่อง.


กำลังโหลดความคิดเห็น