xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสความใจบุญ "บิล เกตส์" ประกาศบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดใน 20 ปี จวก"อีลอน มัสก์"ฆ่าเด็กยากไร้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถอดรหัสการตัดสินใจของ "บิล เกตส์" (Bill Gates) มหาเศรษฐีไอทีนักบุญที่สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการงานกุศลระดับโลก ซึ่งล่าสุดได้ประกาศบริจาคเกือบทั้งหมดของทรัพย์สิน และเตรียมปิดมูลนิธิเกตส์ใน 20 ปี โดยอีกด้านก็วิจารณ์ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ว่า “ฆ่าเด็กยากจน” ด้วยการตัดงบช่วยเหลือต่างชาติ

ความเคลื่อนไหวของบิล เกตส์ครั้งนี้ไม่ได้มีประเด็นแค่เรื่องเงิน แต่เป็นการท้าทายระบบและทัศนคติของเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลก ว่าจะเลือกใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือปล่อยให้ปัญหาความยากจนและโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนต่อไป

อย่างไรก็ตาม การปะทะฝีปากกับมัสก์ยิ่งทำให้เรื่องนี้ร้อนแรงขึ้น ทำให้คนในและนอกวงการไอทีจับตามองอย่างใกล้ชิด

***เปิดแผนบริจาค 200,000 ล้านดอลลาร์ 20 ปี

บิล เกตส์ ประกาศเมื่อต้นพฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าเตรียมจะบริจาคทรัพย์สินราว 200,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบทั้งหมดที่มีภายใน 20 ปีข้างหน้า และจะปิดมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ในวันที่ 31 ธันวาคม 2045

แฟ้มภาพ บิล เกตส์ และเมลินดา อดีตภรรยา
เดิมทีมูลนิธินี้ตั้งใจจะทำงานต่อไปหลังจากที่เกตส์และเมลินดาเสียชีวิต แต่ตอนนี้ เกตส์บอกว่าไม่อยากรอ และต้องการเห็นเงินของตัวเองเปลี่ยนแปลงโลกในทันที โดยเฉพาะในด้านสุขภาพโลกและการลดความเหลื่อมล้ำ

ผลกระทบด้านบวกของการประกาศนี้ คือมูลนิธิเกตส์จะเร่งทำงานใน 3 เป้าหมายใหญ่ คือลดการเสียชีวิตของแม่และเด็ก, กำจัดโรคติดเชื้อร้ายแรง, และช่วยคนนับร้อยล้านหลุดพ้นจากความยากจน การบริจาคครั้งนี้ถือเป็นการทุ่มสุดตัวครั้งประวัติศาสตร์ อาจจุดประกายให้มหาเศรษฐีคนอื่นให้หันมาบริจาคมากขึ้นตามแบบ Giving Pledge ที่เกตส์ริเริ่มไว้

การประกาศนี้อาจสื่อถึงความท้าทายที่วงการการกุศลกำลังเผชิญได้ด้วย เพราะการตัดงบประมาณด้านสุขภาพและความช่วยเหลือระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ อาจทำให้งานของมูลนิธิยากขึ้น เนื่องจากเงินจากมูลนิธิอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะทดแทนงบรัฐบาลได้ และถ้าโรคอย่าง HIV หรือโปลิโอกลับมาระบาดเพราะขาดการสนับสนุน ผลกระทบจะรุนแรงต่อคนยากจนทั่วโลก

การตัดงบประมาณด้านสุขภาพและความช่วยเหลือระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ อาจทำให้งานของมูลนิธิยากขึ้น
ทั้งหมดนี้ เกตส์มองโลกในแง่ดีว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานการกุศลระดับโลก โดยอาจช่วยพัฒนาวัคซีนใหม่ หรือวิธีส่งมอบความช่วยเหลือที่เร็วขึ้น

***วิจารณ์ อีลอน มัสก์ ว่า “ฆ่าเด็กยากจน”

ในการสัมภาษณ์กับไฟแนนเชียลไทม์ส (Financial Times) เกตส์พูดแรงด้วยการกล่าวหาว่า การที่อีลอน มัสก์ ในฐานะหัวหน้าทีม Department of Government Efficiency (DOGE) ตัดงบ USAID ซึ่งเป็นหน่วยงานช่วยเหลือต่างชาติของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การระบาดของโรคอย่างโรคหัด, HIV และโปลิโอในเด็กยากจนทั่วโลก เกตส์ถึงขั้นบอกว่า “ภาพมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกกำลังฆ่าเด็กยากจนที่สุดในโลก ไม่ใช่ภาพที่น่าดูเลย” และยังเผยว่าได้พบทรัมป์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์เพื่อขอให้คงงบ USAID ไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ

อีลอน มัสก์
เกตส์มองว่าการตัดงบ USAID อาจทำให้ความก้าวหน้าในการควบคุมโรคติดเชื้อหยุดชะงัก โดยเตือนว่าประสบการณ์ของ USAID ที่ส่งคนลงพื้นที่นั้นหาทดแทนยาก และผลกระทบจะตกหนักที่ประเทศยากจนที่พึ่งพาความช่วยเหลือ

อีลอน มัสก์ ไม่ยอมอยู่นิ่งเมื่อเกตส์บอกโลกว่า การตัดงบครั้งนี้ทำให้อาหารและยาที่ช่วยชีวิตเด็ก ๆ ต้องเน่าเสียในโกดัง และอาจทำให้โรคอันตรายอย่างหัดหรือโปลิโอกลับมาระบาด โดยเจ้าพ่อเทสล่าออกมาโพสต์บน X ตอกกลับทันควัน เรียกบิล เกตส์ว่า “คนโกหกตัวพ่อ” พร้อมแซะแรงว่าเกตส์คือ “ความน่าละอายของมนุษยชาติ”

งานนี้ดราม่าสนั่น ก่อนหน้านี้มัสก์เคยเรียก USAID ว่า “องค์กรอาชญากรรม” และบอกว่า “ถึงเวลาที่มันต้องตาย” หลังจาก DOGE ตัดสินใจปิด USAID ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เจ้าพ่อเทสล่าออกมาโพสต์บน X ตอกกลับทันควัน เรียกบิล เกตส์ว่า “คนโกหกตัวพ่อ” พร้อมแซะแรงว่าเกตส์คือ “ความน่าละอายของมนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม เกตส์เล่าว่าโรงพยาบาลในจังหวัดกาซา ประเทศโมซัมบิก ต้องหยุดรับเงินช่วยเหลือ เพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกาซาในตะวันออกกลาง ทั้งที่โรงพยาบาลนี้ช่วยป้องกันการถ่ายทอด HIV จากแม่สู่ลูกน้อย แต่เมื่อเงินถูกตัด ผลกระทบจึงน่าสะเทือนใจ และเกตส์ถึงกับบอกว่าอยากให้มัสก์ไปพบเจอเด็ก ๆ ที่ติด HIV เพราะการตัดงบครั้งนี้

***โลกเทคฯแยกขั้ว

การวิจารณ์ครั้งนี้สะท้อนความขัดแย้งในวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะรอยร้าวระหว่าง 2 ขั้วใหญ่แห่งวงการ "เกตส์ vs มัสก์" ซึ่งอาจจุดประเด็นถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของมหาเศรษฐีในการกำหนดนโยบายสาธารณะ

นอกจากนี้ การที่เกตส์ตัดสินใจบริจาคทรัพย์สมบัติของตัวเองและวางกำหนดปิดมูลนิธิเร็วกว่าที่วางแผน อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงมหาเศรษฐีคนอื่น รวมถึงมัสก์ ว่าเงินควรถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของโลก ไม่ใช่เก็บไว้หรือใช้เพื่ออำนาจทางการเมือง

นี่อาจเป็นเพียงส่วนเดียวของนัยที่สะท้อนจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของ บิล เกตส์ เพราะอาจยังมีผลกระทบอื่นที่จะเกิดขึ้นจากความใจบุญรอบนี้ของเจ้าพ่อผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ก็ได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น