ออราเคิล (Oracle) แย้มความคืบหน้าความร่วมมือกับเอไอเอส (AIS) คาดว่าจะเริ่มให้บริการในไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มั่นใจไปได้สวยเพราะจุดแข็งทั้ง 2 ค่ายบนทคโนโลยีล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมในอนาคตโดยเฉพาะ ชี้แผนลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในอินโดนีเซียไม่เหมือนไทยที่มีพันธมิตรมองเห็นโอกาสร่วมกัน ภูมิใจ Oracle เติบโตก้าวกระโดดเกิน 50% ต่อปีทั้งโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณการใช้งาน
ธิดาพร สันติมานะวงศ์ รองประธาน ฝ่ายวิศวกรรมคลาวด์ ออราเคิล อาเซียน กล่าวถึงกลยุทธ์คลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ของออราเคิล ในตลาดไทยปี 2568 ว่าออราเคิลได้ร่วมลงทุนกับ AIS ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ในประเทศเพราะไทยมีไฮเปอร์สเกลเลอร์หลายเจ้าที่ลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบคลาวด์รีเจียน แต่ในส่วนที่ออราเคิลร่วมมือกับ AIS นั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดพร้อมกับ AIS ที่จะขึ้นเป็นผู้นำด้านดาต้าได้ หลังจากที่เป็นผู้นำโทรคมนาคมมาแล้ว
"การลงทุนนี้เป็นการนำอินฟราสตรัคเจอร์จากออราเคิล พลิกจากคลาวด์สาธารณะที่ใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย และทั่วโลก 150 บริการ ยกไปตั้งที่ไทยภายใต้แบรนด์ AIS จุดเด่นของความร่วมมือนี้คือการใช้เทคโนโลยี Oracle Cloud Infrastructure (OCI) Gen2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่เกิดมาเพื่อรองรับข้อมูลมหาศาลสำหรับปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมอนาคตเป็นหลัก การเปิดตัวร่วมกับ AIS ทำ Oracle Alloy นั้นให้ผลเหมือนการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ที่ไทย ครบทั้ง OPEX, Agile เรียกว่าเป็นคลาวด์ที่ยืดหยุ่นมาก และเก็บรักษาข้อมูลที่เมืองไทย"
ธิดาพรระบุว่าปัจจุบัน Oracle ทำงานบน 174 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นจำนวนที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มไฮเปอร์สเกลเลอร์ทั้งหมด โดยเมื่อดูจากผลประกอบการ จะเห็นว่าอินฟราสตรัคเจอร์ของออราเคิลนั้นมีการขยายตัวกว่า 55% บนสถิติ 12 พับลิกคลาวด์รีเจียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมญี่ปุ่น
***ลงทุนในอินโดฯ แต่ไทยไปกับ AIS
กลยุทธ์ที่ Oracle ใช้ในตลาดไทยและอินโดนีเซียนั้นต่างกัน ธิดาพรระบุว่าการลงทุนในอินโดนีเซียที่มีข่าวออกมาเมื่อเดือนมีนาคม 2568 นั้นเป็นการลงทุนของ Oracle ในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยตัวเอง แต่สำหรับไทยนั้นเป็นความร่วมมือ บนเทคโนโลยีเดียวกัน
รายละเอียดจากข่าวต่างประเทศ ระบุว่า Oracle พิจารณาลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลที่เกาะบาตัม อินโดนีเซีย โดยในรายงานของบลูมเบิร์กชี้ว่า Oracle กำลังเจรจากับรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อเตรียมจัดตั้งศูนย์บริการคลาวด์แห่งใหม่ในเขต "นงซา ดิจิทัล พาร์ค" ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้สถานะ "เขตการค้าเสรี" และตั้งอยู่ใกล้สิงคโปร์-มาเลเซีย ซึ่ง Oracle มีแผนธุรกิจบริการคลาวด์คล้ายกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ธิดาพรชี้ว่าการลงทุนของ Oracle ในอินโดนีเซียนั้นไม่ได้เกิดจากการเจรจากับรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนสร้างคลาวด์อินฟราสตรัคเจอร์เพื่อให้บริการ
"ความต่างของการลงทุนในแต่ละตลาด คือสิงคโปร์นั้นเหมือนเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค Oracle จึงมีการเปิดคลาวด์รีเจียนที่นี่ แน่นอนในประเทศต่างๆ ก็มีการพูดคุยกัน แต่ AIS เห็นโอกาสที่จะไปด้วยกัน AIS จึงลงทุนและ Oracle ได้เข้าไปร่วม ก็จะเข้าไปให้บริการลูกค้าได้พร้อมกัน"
ย้อนกลับไปช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 เจ้าพ่อ Oracle ประกาศลงทุนกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างคลาวด์รีเจียนแห่งแรกในมาเลเซีย ถือเป็นการขยายธุรกิจที่ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ การ์เร็ตต์ อิลก์ รองประธานบริหารของออราเคิลประจำญี่ปุ่นและเอเชียแปซิฟิก ที่ย้ำว่า Oracle วางแผนขยายธุรกิจครอบคลุมทั่วเอเชีย ด้วยศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงนิวซีแลนด์ ไปจนถึงอินเดีย ปัจจุบัน Oracle มีศูนย์คลาวด์คอมพิวติ้ง 2 แห่งในสิงคโปร์
นอกจากไทย ประเทศที่ Oracle ใช้โมเดล Alloy ซึ่งดำเนินการร่วมกับโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการโทรคมนาคมนั้นมีทั้งนิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ซึ่งจากการเซ็นสัญญากับ AIS เมื่อปี 2567 เชื่อว่าจะเริ่มเปิดตัวที่ประเทศไทยในครึ่งแรกของปี 2025
***เทคโนโลยีใหม่ ไลเซนส์เดียวทำได้ทุกอย่าง
ธิดาพรอธิบายถึง OCI Gen2 ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ซึ่งต่อยอดจากจุดกำเนิดของ Oracle ที่เกิดมาจากเทคโนโลยีฐานข้อมูลเมื่อ 47 ปีที่แล้ว
"เมื่อเข้าสู่ตลาดคลาวด์ ก็เป็น Gen2 เลย ลูกค้าจะเปลี่ยนผ่านมาสู่เทคโนโลยีนี้ด้วยเครื่องมือที่ Oracle เตรียมให้ ตอนนี้ทุกคนพูดถึง AI แต่ AI จะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีข้อมูลที่เข้มแข็ง เราไม่ใช่ฐานข้อมูลแต่เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลที่มีทุกอย่างครบอยู่แล้วโดยไม่ต้องโยกย้างข้อมูล ทุกอย่างอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มี AI อยู่ในทุกเลเยอร์ การนำข้อมูลไปใช้กับโมเดล AI เพื่อจัดกลุ่มหรือแยกประเภท และเพื่อสร้างสรรค์แบบ Generative จะทำได้แม่นยำกว่า ขณะเดียวกันก็รองรับข้อมูลหลายรูปแบบ ทั้งข้อมูลที่ไม่ได้ถูกจัดโครงสร้าง และที่ถูกจัดโครงสร้างแล้ว"
แม้บริษัทในเครืออย่าง NetSuite จะเปลี่ยนรูปแบบมาเก็บค่าบริการตามงานหรือ Task แต่ธิดาพรเชื่อว่าในส่วนเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐาน Oracle จะยังเก็บค่าสมาชิกเป็น 1 SKU ซึ่งเป็นเครดิตครอบจักรวาลที่สามารถนำไปเปิดหรือปิดการใช้งานบริการใดก็ได้ที่ต้องการ และใช้งานได้มากกว่า 150 บริการบนคลาวด์ ตั้งแต่ระบบชำระเงิน บล็อกเชน รวมถึงเทคโนโลยีอื่น
"ปัจจุบัน Oracle Cloud ได้รับความนิยมมากเพราะมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุน ดาต้าที่ส่งออก 10 เทราไบต์แรกนั้นฟรี และรองรับการต่อยอดนวัตกรรมในมาตรฐานโอเพ่นซอร์ส สามารถนำ LLM ใดๆก็ได้มารัน" ธิดาพรกล่าว "การแข่งขันที่ราคาเป็นส่วนหนึ่ง แต่แข่งเรื่องนวัตกรรมก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ละค่ายมีจุดแข็ง ซึ่งสิ่งที่ Oracle และ AIS มีคือดาต้าอยู่ที่ไทย และใช้ Gem2 ที่เกิดมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือฐานลูกค้า Oracle มีผู้ใช้ในองค์กรจำนวนมาก ลูกค้าสามารถเปิดใช้งานได้เลย มีดาต้าครบอยู่แล้วโดยไม่ต้องโยกย้าย เรามั่นใจในฐานลูกค้าเดิมมาก"
ธิดาพรชี้ว่า Oracle จะโฟกัสที่โปรเจ็กต์ Alloy ตลอดปี 2568 โดยเน้นลูกค้าทุกกลุ่มที่ต้องการมีข้อมูลในประเทศ ทั้งธนาคาร ราชการ เฮลธ์แคร์ และค้าปลีก ซึ่งนอกจากกลุ่มองค์กรใหญ่ในปีนี้ ออราเคิลก็เห็นแนวโน้มเติบโตในกลุ่ม SMB ที่ต้องการประสิทธิภาพและความว่องไวในการปรับใช้เทคโนโลยี ถือเป็นเทรนด์ที่ออราเคิลเห็นมาตั้งแต่หลังโควิด
"ความท้าทายที่เห็นในปีนี้ในฐานะคนไทยที่มาอยู่สิงคโปร์ 25 ปี ส่วนตัวยังไม่เคยเห็นปริมาณการใช้งานคลาวด์ของ Oracle ทั่วอาเซียนที่เติบโต 55% ต่อปี เราไม่ใช่แค่ภูมิใจว่าเติบโตสูง แต่เรามั่นใจถึงการช่วยให้ลูกค้าสามารถตอบความต้องการได้ทั้งด้านประสิทธิภาพและต้นทุน เราไม่ได้แข่งที่ราคาอย่างเดียว แต่อยู่ที่ 3 อย่าง คือประสิทธิภาพ ราคา และการเป็นดาต้าแพลตฟอร์มที่รองรับการพัฒนานวัตกรรมโดยเฉพาะ เมื่อลูกค้ามีส่วนนี้จะมีโอกาสแข่งขันสูงขึ้น และเจริญเติบโต"
ในฐานะคนที่คุยกับลูกค้าเรื่องเทคนิกมานานเกิน 30 ปี ธิดาพรสรุปว่า 3 สิ่งที่อธิบายตลาดโซลูชันองค์กรในปี 2568 นี้ได้ชัด คือการเห็นโอกาสที่สูงมากจากดาต้าและ AI ส่วนที่ 2 คือนวัตกรรมจะทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน
"ส่วนที่ 3 สำคัญที่สุด นั่นคือคนที่จะประสบความสำเร็จในตลาดนี้ได้ คือคนที่มองความสำเร็จของลูกค้าเป็นความสำเร็จของเรา เมื่อใดที่อยู่ในเส้นทางเดียวกับลูกค้า จะเป็นการเดินไปด้วยกันและจะสำเร็จร่วมกัน".