xs
xsm
sm
md
lg

นาโนเทคไทยลุย 4 อุตฯ วางโรดแมป 5 ปีต่อยอดงบอุดมศึกษาฯ 1.6 แสนล้านบาท ปี 69

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ลงนามความร่วมมือจัดทำโรดแมปหรือแผนการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ.2569-2573 หลังรัฐบาลอนุมัติงบด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี 2569 กว่า 160,000 ล้านบาท วางเป้าส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) มุ่งสร้างเครือข่ายด้านนาโนเทคโนโลยีลุย 4 อุตสาหกรรม

ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในโครงการจัดทำโรดแมปการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทย ระหว่างศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ สอวช. ถือเป็นโอกาสที่ดีในการทบทวนแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศให้สอดรับกับเป้าหมายและบริบทของระบบ ววน. ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ

“สำหรับประเทศไทย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ระบบ ววน. และใช้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ในปี 2569 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กว่า 160,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ได้รวมการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรมระดับขั้นแนวหน้าที่ก้าวหน้าล้ำยุค เชื่อมั่นว่า แผนที่นำทางฉบับนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมให้ก้าวหน้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม” ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าว


ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาตินั้นเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คาดว่าโรดแมปจะปูทางให้เกิดการสร้างเครือข่ายด้านนาโนเทคโนโลยีเพื่อ 4 อุตสาหกรรม คือ การแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง พลังงานสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกษตรอาหารเพื่อความยั่งยืน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี (Nanosafety)

ในขณะที่โรดแมปนี้หวังยกระดับผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในทุกภาคส่วน แต่ประเทศไทยเคยมีแผนที่นำทางนาโนเทคโนโลยีมาแล้ว 3 ฉบับ โดยฉบับที่ 3 สิ้นสุดในปี 2564

ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผอ.นาโนเทค ระบุว่าแผนฉบับที่ 3 ซึ่งได้สิ้นสุดลงใน ปี พ.ศ.2564 นั้นดำเนินการจัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) หรือ สอวช. ในปัจจุบัน ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ดังนั้น เพื่อให้การวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยสอดรับกับนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ ตลอดจนพันธกิจของภาคอุดมศึกษา และสถาบันวิจัย รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จึงมีความจำเป็นในการทบทวนทิศทางการวิจัยพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีให้ชัดเจนและทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

“นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีแห่งการผลิตในอนาคต และมีศักยภาพในมิติของการเติบโตทางการตลาด แผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย พ.ศ.2569-2573 ที่จะเกิดขึ้นนี้ คาดหวังว่าจะมีบทบาทสำคัญ สามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะใน 3 อุตสาหกรรมนำร่อง คือ การแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง พลังงานสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเกษตรอาหารเพื่อความยั่งยืน พร้อมยกระดับผลงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในทุกภาคส่วน” ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค สวทช. เผย


ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผอ.สอวช. ระบุว่านาโนเทคโนโลยีมีศักยภาพเป็นเครื่องมือสำคัญพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น Future Food, Semiconductor และยานยนต์ไฟฟ้า เชื่อว่าโรดแมปนี้จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและช่วยให้ไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน

"นาโนเทคโนโลยีมีศักยภาพที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้าน Future Food, Semiconductor หรือยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Green-House-Gas Emissions ซึ่ง สอวช. ยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ในการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการบูรณาการและใช้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับโลก และช่วยให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างยั่งยืน"


กำลังโหลดความคิดเห็น