xs
xsm
sm
md
lg

มหากาพย์สงคราม True ID VS ดร.พิรงรอง ปิด True ID ใครได้-ใครเสีย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยังคงเป็นไปด้วยความเข้มข้น และมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สำหรับฝั่งที่สนับสนุน ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่มีคำสั่งลงโทษจำคุก ดร.พิรงรอง 2 ปี โดยไม่รออาญาในความผิดมาตรา 157 กรณี ดร.พิรงรองถูกบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป ฟ้องว่า ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ "มีเจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้ง" และใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ ในวันที่ 26 มีนาคม 2568 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จะร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภาองค์กรของผู้บริโภค เตรียมเดินหน้าเปิดเวทีเสวนาแสดงความเห็น เชิงตั้งคำถามกับสังคม ในหัวข้อ “พิรงรอง Effect สะเทือนอุตสาหกรรมสื่อ?” โดยระดมนักวิชาการ นักกฎหมาย อดีตนักการเมือง และกลุ่ม NGO ด้านสื่อสารและโทรคมนาคม ที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาเข้าร่วมเวทีอย่างคับคั่ง

เวทีงานเสวนาครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอย่างต่อเนื่อง

และอะไร? คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการรวมตัว และเคลื่อนไหวเชิงวิพากษ์คำพิพากษาของศาลแบบเปิดเผย และเข้มข้น ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ยังมีขั้นตอนของการอุทธรณ์คำพิพากษา และยังมีช่องทางให้ ดร.พิรงรองต่อสู้คดี
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าแทนที่จะใช้เวลาและความสามารถที่มีให้ถูกที่ถูกทาง เช่น การหาแนวทางแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมที่เห็นว่าควรจะเร่งรีบแก้ไข แต่กลับออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลจนหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพียงเจตนาเพื่อ “กดดันศาล” หรือ “สร้างความชอบธรรมให้ใคร” หรือไม่

เกมนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า หรือมีใครได้ ใครเสีย จากกรณีของ ดร.พิรงรอง หรือท้ายที่สุด ดร.พิรงรองเป็นเพียงเหยื่อในเกมที่ถูกดันออกมาเคลื่อนไหว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดกับ ดร.พิรงรอง หรืองานนี้เป็นเพียงสงครามตัวแทนที่มียักษ์ใหญ่แอบซ่อนตัวชักใยอยู่เบื้องหลัง โดยดันสุดตัวเพียงเป้าหมายเดียวต่อ ทรูไอดี OTT สัญชาติไทย ที่ล่าสุดมีสมาชิกถึง 36 ล้านราย และมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้น

ย้อนกลับไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่นำมาสู่คำพิพากษาของศาล ก็ชัดเจนว่า กสทช. ยังไม่เคยมีหลักเกณฑ์กำกับดูแล OTT แต่กลับมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกรายว่าบริการแอปทรูไอดี ของโจทก์เพียงรายเดียว ยังไม่ได้เป็นผู้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์

ทางบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป ได้พยายามประสานขอเข้ามาทำความชี้แจงกับ กสทช.หลายครั้ง แต่คำขอไม่เป็นผล และนำไปสู่การฟ้องคดี ซึ่งบริษัทเริ่มต้นด้วยฟ้องเจ้าหน้าที่ผู้ลงนามในหนังสือ มิได้ฟ้อง ดร.พิรงรองตั้งแต่ต้น

จนเมื่อศาลนำสืบและพบว่า เจ้าหน้าที่ผู้ลงนามได้ดำเนินการทำหนังสือโดยการสั่งการของ ดร.พิรงรอง โดยมีหลักฐานจากบันทึกการประชุม บริษัทถึงต้องฟ้อง ดร.พิรงรองในฐานะผู้สั่งการ เพราะผลจากการสั่งการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อบริษัทโดยตรง

ต่อมาเมื่อมีการพิจารณาคดี ศาลได้เรียกวัตถุพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะเทปบันทึกการประชุม จนพบถ้อยคำในเชิงที่มีเจตนาเจาะจงดำเนินการเพียงทรูไอดีรายเดียว ทั้งคำว่า “ตลบหลัง” และ “ล้มยักษ์” ซึ่งในคำพิพากษาศาลระบุว่า เป็นเจตนาพิเศษ มุ่งประสงค์จะกลั่นแกล้ง และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ทำให้บริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป ในฐานะโจทก์ได้รับความเสียหาย

สองคำพูดของ ดร.พิรงรอง ทั้ง “ตลบหลัง” และ “ล้มยักษ์” ถูกถอดรหัสว่า อะไรที่ทำให้ ดร.พิรงรอง ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ใช้คำพูดนี้ออกมา และเป็นการพูดเชิงสั่งการระหว่างการประชุมคณะอนุกรรมการการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ จนถูกตีความว่า คำว่า ตลบหลังและล้มยักษ์ เป็นเจตนาที่จะตลบหลังและล้มทรูไอดี

นอกจากนั้น การตลบหลัง และล้มยักษ์ จนการมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกรายว่าบริการแอปทรูไอดี เพียงรายเดียว ยังไม่ได้เป็นผู้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งที่ ทรูไอดีเป็นหนึ่งใน OTT สัญชาติไทย ซึ่ง ดร.พิรงรองเคยแสดงความเห็นสนับสนุนมาโดยตลอด จนถึงเตรียมการยกร่างแผนงาน แพลตฟอร์มไทยแลนด์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทีวีดิจิทัล เมื่อสิ้นสุดอายุใบอนุญาต ยังเป็นท่าทีที่ถูกวิเคราะห์ว่า หรือแท้จริง ดร.พิรงรอง เป็นเพียงเหยื่อของยักษ์ใหญ่บางรายที่ก็เป็นคู่แข่งในตลาดและต้องการเข้ามาครอบงำตลาด OTT ซึ่งกำลังจะขยายตัวแต่เพียงรายเดียว

ข้อสังเกตที่มีคู่แข่งอยู่เบื้องหลังและต้องการจะ “ล้มทรูไอดี” ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากล่าสุดที่มีนักวิชาการบางคนออกมาบอกว่าต้องให้ทรูไอดี ซึ่งเป็น OTT สัญชาติไทยต้องไปขอรับใบอนุญาต ทั้งๆ ที่ กสทช. ไม่มีหลักเกณฑ์ในการอนุญาต OTT นักวิเคราะห์มองว่า มีความพยายามส่งผ่านข้อมูลจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่บางกลุ่ม จนทำให้ ดร.พิรงรองเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อการดำเนินธุรกิจของทรูไอดี

ข้อมูลนี้ยังทำให้ ดร.พิรงรอง ปฏิเสธที่จะแก้ปัญหาด้วยการพูดคุย และเรียกตัวแทนของบริษัท ทรูดิจิทัลกรุ๊ปมาหารือ เพื่อแก้ปัญหาจากข้อร้องเรียนเรื่องโฆษณา ทั้งที่เป็นปัญหาที่ถือว่า เล็กมาก หากเทียบกับประเด็นข้อร้องเรียนอื่นๆ เกี่ยวกับเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ ล่อแหลม บนแพลตฟอร์มบางแพลตฟอร์ม รวมทั้งบนทีวีดิจิทัล

ข้อร้องเรียนโฆษณาที่เกินจริง เกินจำนวนบนหน้าจอทีวีดิจิทัล ที่จนบัดนี้ คณะอนุกรรมการชุดนี้ยังไม่เคยหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง

นักวิเคราะห์ยังมองว่า ความพยายามที่จะล้มทรูไอดี ซึ่งมีความเคลื่อนไหวผ่านการสร้างข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน ที่เคลื่อนไหวร้องเรียนทรูไอดี จนนำไปสู่การประชุมพิจารณา และออกหนังสือแจ้งครั้งนี้ หากประสบผลสำเร็จ และทรูไอดี ต้องยุติการดำเนินธุรกิจ ค่อนข้างชัดว่า มีทั้งฝ่ายที่จะได้ประโยชน์มหาศาลซึ่งก็คือคู่แข่งที่อยู่เบื้องหลังและได้ประโยชน์จากการที่ไม่มีทรูไอดีอยู่ในธุรกิจนี้

ส่วนฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็ชัดเช่นกันว่า แม้ทางตรงบริษัททรูดิจิทัลกรุ๊ปจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ แต่อีกด้าน ฝ่ายผู้บริโภค ฝ่ายผู้ประกอบการผลิต Content ทั้งระบบ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล รวมถึงหน่วยงานภาครัฐจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์มหาศาลเช่นกัน

ครั้งหนึ่งนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) สังกัดกระทรวงพาณิชย์ เคยให้สัมภาษณ์สื่อถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดธุรกิจบริการ OTT ว่า การเติบโตของ OTT ส่งผลต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม บริการ และพฤติกรรมของผู้บริโภค

ประการสำคัญ OTT ยังเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตสื่อดิจิทัลคอนเทนต์ ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ และ Home entertainment ต่างๆ สามารถเผยแพร่หรือนำเสนอคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาหลากหลาย และมีช่องทางการนำเสนอคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น

สำหรับภาครัฐและผู้ประกอบการยังสามารถใช้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจ OTT เพื่อเป็นช่องทางการนำเสนอหรือโฆษณาสินค้า บริการ สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม โดยสอดแทรกในสื่อและคอนเทนต์ที่เผยแพร่ผ่าน OTT ซึ่งเป็นโอกาสทางการค้าและเป็นช่องทางที่สามารถสร้างการรับรู้สินค้าและบริการ และเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สามารถเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยควบคู่ไปพร้อมกับการนำเสนอสินค้าและบริการได้

การไม่มีทรูไอดี ซึ่งเป็น OTT สัญชาติไทยที่มีจำนวนสมาชิกสูงถึง 36 ล้านราย ย่อมหมายถึงการเสียโอกาสของทั้งผู้ประกอบการ ผู้ผลิต และภาครัฐ ที่จะใช้ช่องทาง OTT สัญชาติไทยเผยแพร่เนื้อหา และสินค้า รวมทั้งวัฒนธรรมไทย ไปยังสมาชิกจำนวนถึง 36 ล้านรายของทรูไอดี

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่จะได้จำนวนผู้ชมจากสมาชิกจำนวน 36 ล้านราย จากการเผยแพร่สัญญาณภาพผ่านช่องทางของทรูไอดี จะสูญเสียโอกาสการเข้าถึงการมองเห็น และการรับชม รวมทั้งสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มทรูไอดีด้วยเช่นกัน

นั่นคือ ฝ่ายที่จะสูญเสียประโยชน์จากการไม่มีทรูไอดี

คำถามคือ แล้วใครจะได้ประโยชน์จากการไม่มีทรูไอดี?

เมื่อปี 2567 PwC Thailand หรือ PricewaterhouseCoopers ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงโตได้ คือ การขยายตัวของ OTT ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่สูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2571 ธุรกิจ OTT จะมีรายได้เพิ่มเป็น 42,122 ล้านบาท

มูลค่าทางการตลาดของธุรกิจ OTT ในประเทศไทยที่จะเติบโตขึ้นกว่า 41,122 ล้านบาท ในปี 2571 หรือในอีก 3 ปี ข้างหน้า จึงเป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่ผู้ประกอบการสัญชาติไทย และผู้ประกอบการต่างชาติ ต่างปรับแผนธุรกิจ เพื่อรุกเข้าไปช่วงชิงความได้เปรียบในการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของเค้กก้อนนี้

แม้ว่า ทรูไอดีจะมีต้นทุนที่มหาศาลในการลงทุนในแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกกว่า 36 ล้านราย รวมทั้งการลงทุนในการซื้อลิขสิทธิ์ Content ต่างประเทศในมูลค่าสูง ลงทุนการจ้างผลิต Content จากผู้ผลิตในประเทศ จนดูเหมือนธุรกิจ OTT ของทรูไอดีซึ่งเป็น OTT สัญชาติไทยจะมีความเสี่ยง

แต่ทิศทางการเติบโตของธุรกิจ OTT ในไทยที่จะมีมูลค่าสูงถึง 41,122 ล้านบาทในปี 2571 ทำให้หากไม่มีทรูไอดี OTT สัญชาติไทยที่มีสมาชิกสูงถึง 36 ล้านราย เค้ก 41,122 ล้านบาท จะเหลือผู้เล่นที่น้อยลง

ข้อมูลของ PwC จึงสะท้อนภาพค่อนข้างชัด และเห็นเงาทะมึนของยักษ์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังการล้มทรูไอดีว่า ทำไมต้อง ล้มทรูไอดี และเมื่อล้มทรูไอดี ใครจะเป็นเจ้าตลาด

ใครจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินจำนวน 41,122 ล้านบาท รวมถึงสมาชิก 36 ล้านของทรูไอดี ที่จะไหลไปรวมอยู่ที่ใคร?


กำลังโหลดความคิดเห็น