สมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ ชี้คดี 'กสทช.พิรงรอง' สะเทือนหลักนิติรัฐ ส่อเปิดช่องฟ้องปิดปาก กระทบคนทำงานเพื่อสาธารณะ เสี่ยงเป็นจุดเปลี่ยนระบบยุติธรรมไทย
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อคำตัดสินของศาลในคดีที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน TrueID ฟ้อง น.ส.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ โดยแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
◉ ความแปลกใจและความเศร้าใจ
ทั้งนี้ มีความตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลตั้งแต่ได้รับทราบคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้แสดงความเห็นจนถึงปัจจุบัน ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ ดังนั้น จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น
ตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษทั้งที่การดำเนินการของ น.ส.พิรงรอง เป็นไปในนาม สำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งคือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด คือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง
◉ ผลกระทบต่อสังคมไทยผลพวงจากคดี
แม้ว่าการพิจารณาของศาลในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น อาจมีการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดีนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ นายสมเกียรติ ระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา ได้แก่
1.ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ "เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ" ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม
2.ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ
คดีนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหว เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
3.ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น
นายสมเกียรติ แสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt)
◉ การพิจารณาคดีเสี่ยงต่อระบบยุติธรรม
นายสมเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล
ทั้งนี้ นายสมเกียรติ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ดังนั้น ข้อเสนอแนะต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน นายสมเกียรติ เรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง จึงข้อเสนอให้มีการจัดสัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาทบทวนหลักสูตรอบรมที่อาจทำให้เกิดข้อกังขาต่อความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม
"คดีของ น.ส.พิรงรอง อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเป็นอิสระของศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม"
นอกจากนี้ นายสมเกียรติ ยังย้ำว่า ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว