'ประเสริฐ' เผย พ.ร.ก.ปราบโจรออนไลน์เกิดแน่ บีบแบงก์-ค่ายมือถือ-แพลตฟอร์มร่วมรับผิด สหรัฐฯ ผวากระทบบริษัทบิ๊กเทคโนโลยี รัฐบาลเมินแรงต้าน เผยยอดโกงลดฮวบจาก 100 ล้าน เหลือ 33 ล้านต่อวัน
เมื่อวันที่ 5 มี.ค.68 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม หลังผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานกฤษฎีกา คาดว่าจะประกาศใช้ล่าช้าจากกำหนดเดิมในเดือน ก.พ.68 เป็นช่วงสิ้นเดือน มี.ค.68 อย่างไรก็ตาม กระบวนการตรวจสอบดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่มีการแก้ไขสาระสำคัญหรือการเตะถ่วงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ กำหนดให้สถาบันการเงิน โอเปอเรเตอร์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหาย หากปล่อยให้มิจฉาชีพใช้ระบบของตนก่ออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเกิดความกังวลต่อผลกระทบที่อาจตามมา
แม้เนื้อหาของร่าง พ.ร.ก.ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เพื่อป้องกันแรงต้านที่อาจกระทบต่อกระบวนการประกาศใช้ แต่รัฐบาลยืนยันว่า หลักการของกฎหมายไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ เป็นเพียงมาตรการที่ผู้ให้บริการต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้า และการแจ้งเตือนธุรกรรมต้องสงสัย โดยจะมีการประชุมร่วมกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนควบคู่กับ พ.ร.ก.ฉบับนี้
"ไม่เพียงแค่ภาคธุรกิจในประเทศที่แสดงความกังวล สถานทูตสหรัฐฯ ยังได้ส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค.68 แสดงความกังวลว่า กฎหมายฉบับนี้อาจส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มดิจิทัลสัญชาติอเมริกันที่ให้บริการในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยืนยันว่า ร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องปรับแก้ไขเพิ่มเติม และถือเป็นมาตรการเร่งด่วนในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน" นายประเสริฐ กล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (AOC 1441) รายงานความคืบหน้าในการรับมืออาชญากรรมออนไลน์ พบว่า การดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขความเสียหายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 มี.ค.68 ระบุว่า ความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ลดลงเหลือ 33 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่เคยพุ่งสูงถึง 80-100 ล้านบาทต่อวัน สะท้อนให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายและการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มเห็นผล อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพปรับเปลี่ยนวิธีการก่อเหตุในอนาคต