กสทช. จับมือ CIB ลุยเอาผิด 'เคโฟร์' ตุ๋นประชาชน หลอกขายซิม พ่วงแชร์ลูกโซ่ ดูดเงินลงทุนก่อนเชิดหนี จ่อเพิกถอนไลเซนส์ผู้ประกอบโทรคมนาคม ผู้ใช้ 40,000 รายเสี่ยงเดือดร้อน
เมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แถลงข่าวกรณี บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (บริษัท เคโฟร์ฯ) ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง เพื่อให้บริการขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (บริการ MVNO) ถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงประชาชน หลังพบพฤติกรรมดำเนินธุรกิจในลักษณะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่
น.ส.พูลศิริ นิลกิจศรานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า กสทช. ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมของบริษัท เคโฟร์ฯ ซึ่งให้บริการซิมการ์ด "K4" ควบคู่กับธุรกิจตู้เติมเงินชื่อ "เคธี่ปันสุข" ที่ใช้เติมเงินค่าโทรศัพท์ของซิม K4 แม้ธุรกิจซิมการ์ด MVNO จะอยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. แต่ธุรกิจตู้เติมเงินกลับไม่เข้าข่ายกิจการโทรคมนาคมที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแล
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะเครือข่าย (Single level Marketing/Multi level Marketing) โดยมีการชักชวนให้ประชาชนลงทุนในตู้เติมเงินและซิม K4 ซึ่งต่อมาผู้ลงทุนจำนวนมากร้องเรียนว่าถูกหลอกและได้รับความเสียหาย จนนำไปสู่การแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สำนักงาน กสทช. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงาน ปปง. เพื่อพิจารณาว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายที่อยู่ภายใต้การดูแลของแต่ละหน่วยงานหรือไม่ จนกระทั่งมีการดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
น.ส.พูลศิริ กล่าวว่า ขณะนี้ สำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมของบริษัท ตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 รวมถึงมาตรการทางปกครองที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กสทช. ยังอยู่ระหว่างหารือกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมของซิม K4 เพื่อหาทางช่วยเหลือและเยียวยาผู้ใช้บริการซิม K4 ประมาณ 40,000 ราย ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 สำนักงาน กสทช. ได้ติดตามพฤติกรรมของบริษัท เคโฟร์ฯ และประชาสัมพันธ์เตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงของการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมรวบรวมข้อมูลเพื่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนต่อไป