xs
xsm
sm
md
lg

วัดพลัง "เซมิคอนดักเตอร์" บูมทั่วโลก (Cyber Weekend)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อลวนศึกชิงเจ้ายุทธจักรเซมิคอนดักเตอร์โลก รายงานล่าสุดของการ์ทเนอร์ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์ปี 2024 มีการเติบโตก้าวกระโดดสุดบูม เบ็ดเสร็จมูลค่าเงินสะพัดสูงถึง 6.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.1% และคาดการณ์ว่าจะแตะระดับ 7.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025



หากคิดเป็นเงินไทย มูลค่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์ปี 2025 จะอยู่ที่ 24 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2024 ที่ทำได้ 21 ล้านล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตมหาศาลนี้มาจากความต้องการชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) และชิปเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งในส่วนของเซิร์ฟเวอร์และการ์ดเร่งความเร็วหรือ Accelerator Cards 


ปรากฏการณ์นี้มีนัยสำคัญ เพราะความที่เซมิคอนดักเตอร์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด แม้แต่เครื่องคอนโซลเกม สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ทำให้ตลาดชิปมักจะกระจุกตัวในเซกเมนต์อุปกรณ์ไฟฟ้าใกล้ตัวมาตลอด แต่วันนี้ลมกำลังเปลี่ยนทิศ และเซมิคอนดักเตอร์หรือที่ภาษาไทยเรียกว่าสารกึ่งตัวนำนั้นกำลังออกนอกวงจรของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป มาสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ที่กลายเป็นแหล่งซื้อเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสมาร์ทโฟน 



***ตลาดโตแรง 18%



จอร์จ บร็อคเลเฮิร์สต์ (George Brocklehurst) รองประธานและนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ ชี้ว่าความต้องการด้าน AI และ Generative AI ทำให้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์กลายเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสมาร์ทโฟน โดยมีมูลค่าสูงถึง 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 6.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023


นอกจากสัดส่วนตลาดที่ไม่เหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ปี 2024 ยังอยู่ที่ “ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์” (Samsung Electronics) ซึ่งสามารถกลับมาครองตำแหน่งผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกได้สำเร็จ ด้วยรายได้ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 10.6% โดยปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของราคาหน่วยความจำ

การสำรวจพบว่าเจ้าพ่ออย่างอินเทล (Intel) ถูกดันลงมาอยู่อันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 7.9% การสำรวจชี้ว่าอินเทลประสบความสำเร็จอย่างจำกัดในตลาดชิป AI และการเติบโตที่ค่อนข้างน้อยในธุรกิจ x86 โดยมีอัตราการเติบโตเพียง 0.1% เท่านั้น

ฝั่งเอ็นวิเดีย (NVIDIA) นั้นสร้างปรากฏการณ์ที่น่าจับตาแบบไม่ต้องสงสัย สถิติชี้ว่าทำรายได้พุ่งสูงขึ้น 84% แตะระดับ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก้าวขึ้นมาครองอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 7.3% ตัวเลขสวยงามนี้เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งในธุรกิจ AI




นอกจาก Top 3 บริษัทเอสเคไฮนิกซ์ (SK hynix) ก็มีผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น 86% ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ขณะที่ควอลคอมม์ (Qualcomm) ครองอันดับ 5 มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10.7% โดยไมครอนเทคโนโลยี (Micron Technology) บรอดคอม (Broadcom) เอเอ็มดี (AMD) แอปเปิล (Apple) มียอดขายเพิ่มขึ้นทุกราย ยกเว้น “อินฟินิออน เทคโนโลยีส์” (Infineon Technologies) ผู้ครองอันดับ 10 ที่มียอดขายลดลง 6%



***หน่วยความจำฮอตต่อ

ในส่วนของตลาดหน่วยความจำ พบว่ามีการเติบโตสูงถึง 71.8% คิดเป็นสัดส่วน 25.2% ของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด โดยรายได้จาก DRAM หรือ Dynamic Random Access Memory เพิ่มขึ้น 75.4% และ NAND เพิ่มขึ้น 75.7%

ที่น่าสนใจคือหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในตลาดปีนี้ โดย HBM ทำเงินสะพัดคิดเป็น 13.6% ของยอดขาย DRAM ทั้งหมดในปี 2024 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 19.2% ในปี 2025 ด้วยรายได้ประมาณ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโต 66.3%

 จอร์จ บร็อคเลเฮิร์สต์ (George Brocklehurst) รองประธานและนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์
ส่วนตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่ใช่หน่วยความจำ (Nonmemory) นั้นพบว่ามีการเติบโต 6.9% คิดเป็นสัดส่วน 74.8% ของตลาดรวม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหน่วยความจำและชิป AI จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคตไม่เปลี่ยนแปลง

ที่สุดแล้ว สิ่งที่เราต้องจับตาให้ดีคือแนวโน้มหน่วยความจำ HBM ที่จะมาแรงเป็นพิเศษ ท่ามกลางเทคโนโลยี AI และชิปหน่วยความจำ ที่จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แบบยิงยาวไปอีกหลายปี




กำลังโหลดความคิดเห็น