xs
xsm
sm
md
lg

DeepSeek กระแสชั่วครู่หรือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ AI / ดร.กฤตย์ สีตะธนี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บทความโดย ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย krit.s@kasikornresearch.com
DeepSeek เป็นบริษัทเทคโนโลยี AI ล่าสุดที่ก่อตั้งโดยกองทุนจีน High-Flyer ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากหลังจากเปิดตัว AI ใหม่ชื่อว่า DeepSeek-R1 ส่งผลให้ราคาหุ้น Nvidia ลดลง 16.91% ภายในวันเดียว (6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่ามูลค่า GDP ของประเทศไทย)

เหตุผลที่ทำให้ DeepSeek เป็นที่พูดถึงอย่างมากมาจากต้นทุนที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างการพัฒนา AI ของ DeepSeek และ OpenAI โดย OpenAI ใช้เงินถึง 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 เพื่อพัฒนาโมเดล AI ล่าสุด ในขณะที่ DeepSeek ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโมเดลดังกล่าว อย่างไรก็ตาม AI ของ DeepSeek สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับ OpenAI ในราคาที่ต่ำกว่าหลายเท่า

***ฟันธง! ทุนแพงกว่าที่ประกาศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ต้นทุนรวมจริงของ DeepSeek จะสูงกว่าตัวเลข 5.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในสื่อ เนื่องจากตัวเลข 5.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ไม่นับรวมต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยก่อนหน้า ค่าพัฒนาอัลกอริทึม หรือค่า Data อย่างไรก็ดี ต้นทุนที่แท้จริงยังคงต่ำกว่าการลงทุนของบริษัท AI ในสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี


นอกจากนี้ DeepSeek รายงานว่าใช้ไมโครชิป Nvidia H800 เพียง 2,000 ตัว ซึ่งคาดว่าอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจาก CEO ของ DeepSeek เคยประกาศว่าได้ซื้อไมโครชิปของ Nvidia รุ่น A100 และ H800 ระหว่าง 10,000-50,000 ตัว ทำให้ DeepSeek เป็นหนึ่งในผู้ถือครองไมโครชิป Nvidia รายใหญ่ที่สุดของโลก

***ตลาดหุ้นเละเทะ?

บริษัทเทคโนโลยี AI ของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบโดยตรงน้อย ในขณะที่บริษัทโครงสร้างพื้นฐานของ AI เช่น บริษัทสร้าง Data Center และผลิตไมโครชิปนั้นที่ราคาหุ้นลดลงไปเยอะ แม้ว่าหุ้นของ Nvidia จะลดลง 16.91% เนื่องจากความกังวลด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบ AI ส่วนหุ้นของบริษัทที่มุ่งเน้นด้านซอฟต์แวร์ AI เช่น Apple Amazon และ Meta กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าตลาดยังคงเชื่อมั่นในซอฟต์แวร์มากกว่าโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่ บริษัทพลังงานที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูล (ลดลง 18.8-21.0%) และผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (ลดลง 7.8-12.0%)

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยังคงมีความเชื่อมั่นในความสามารถของ AI สหรัฐฯ แต่เป็นการปรับฐานของตลาดเกิดจากความตระหนักว่าการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในไมโครชิปและพลังงานสำหรับคลัสเตอร์ AI อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป

***DeepSeek อนาคตไกล?

หลายฝ่ายมองว่าการเปิดตัว DeepSeek-R1 เป็น “Sputnik Moment” ของอุตสาหกรรม AI สหรัฐฯ หรือแม้แต่จุดสิ้นสุดของการครองอำนาจนำด้าน AI ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าแม้ DeepSeek ยังไม่ได้แซงหน้า OpenAI ในด้านความสามารถ แต่จะเป็นการปลุกให้สหรัฐฯ ให้ตื่นตัว

DeepSeek มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของ AI รายย่อยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นโมเดลแบบ Open-Source และสามารถทำงานร่วมกับไมโครชิปประมวลผลระดับกลางที่ต้นทุนต่ำกว่า จะกลายเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องจับตาดู: DeepSeek มีโอกาสครองส่วนแบ่งตลาดได้หรือไม่ ปัจจุบันยังไม่มีโมเดล AI ของจีนที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะเป็นบททดสอบที่แท้จริงของความสำเร็จของ DeepSeek ไม่ใช่แค่ผลการทดสอบ Benchmark หรือการอ้างต้นทุนที่ต่ำ

แต่ถึงแม้ DeepSeek-R1 อาจไม่สามารถแข่งขันกับโมเดลระดับสูงสุดได้ในทันที แต่ต้นทุนที่ลดลงอาจช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถเข้าถึง AI ได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในหลายอุตสาหกรรม


AI ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ('Good Enough') สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้ไม่แพ้ AI ที่ล้ำหน้าที่สุด โดยเฉพาะถ้ามีสินค้า AI-Infused เช่น สมาร์ทโฟน หรือโดรนทหาร ซึ่งต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

***ใครได้-ใครเสีย? จากกรณี DeepSeek-R1


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า หากเม็ดเงินลงทุนของ DeepSeek เป็นไปตามที่ประกาศไว้ จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จะอยู่ในส่วนปลายน้ำ ขณะที่ผู้ได้รับผลกระทบเชิงลบจะอยู่ในส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทาน AI

- 3 กลุ่มผู้ที่จะได้ประโยชน์ (Winners)


ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้คือ บริษัทปลายน้ำที่เริ่มนำ AI มาใช้ในธุรกิจมา เช่น อีคอมเมิร์ซและการตลาด ซึ่งคาดว่าสัดส่วนการใช้ AI จะเพิ่มขึ้นจาก 65% เป็น 70-80% ภายใน 2-3 ปี

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น DeepSeek Alibaba และ ByteDance จะชนะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดผู้ให้บริการ AI จากที่อยู่ต่ำกว่า 10% เพิ่มขึ้นเป็น 25% ภายใน 1-3 ปี เนื่องจากต้นทุนการพัฒนา AI ที่ลดลง ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างจริงจัง และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ได้มากขึ้น

อีกกลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือ องค์กรและนักพัฒนาที่เน้นการพัฒนา AI แบบ Open-Source และองค์กรขนาดเล็ก เช่น สตาร์ทอัปจะสามารถเข้าถึง AI ที่มีศักยภาพสูงขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โลจิสติกส์ การเงิน และเทคโนโลยีสุขภาพทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

- 3 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ (Losers)


กลุ่มที่อาจเผชิญปัญหาหนักที่สุดคือ ภาคการผลิตและผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยเฉพาะผู้ให้บริการพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ที่ราคาหุ้นลดลง 18.8-21.0% ภายในวันเดียวหลังจากที่ DeepSeek-R1 เปิดตัว ทั้งนี้เป็นเพราะธุรกิจที่ลงทุนระยะยาว เช่น บริษัท Talen ซึ่งลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สำหรับศูนย์ข้อมูล


นอกจากนี้ บริษัทผู้สร้าง Hyperscale Data Centers หรือ AI Clusters ต้องเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากลูกค้าอาจหันไปใช้โซลูชันที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น On-Premise AI หรือระบบคลาวด์ทั่วไป (General Cloud Solutions) แทน

อีกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบคือ ผู้ผลิตไมโครชิประดับสูง เช่น Nvidia ASML และ TSMC เนื่องจากตลาด AI เปลี่ยนจากการแข่งขันด้าน "พลังและความเร็วการประมวลผล" ไปสู่ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร" มากขึ้น ทำให้โรงงานผลิตไมโครชิประดับ 2nm อาจไม่คุ้มทุน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนไป

***การเมืองลุกเป็นไฟ

สงคราม Tech War ระหว่างจีนและสหรัฐฯ คงจะรุนแรงขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายด้าน AI ของทั้งสองประเทศ

- จีนจะเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำ AI


จีนคาดว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อผลักดันแผน Next Generation AI Development Plan ที่มุ่งหวังให้ประเทศเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI ระดับโลกภายในปี 2030 บริษัทชั้นนำอย่าง Alibaba กำลังเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ (เช่น Qwen 2.5) แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจยังไม่สามารถเทียบกับจุดแข็งด้านต้นทุนของ DeepSeek ได้

ประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปคือ DeepSeek สามารถพึ่งพาไมโครชิปทุนต่ำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อกังขาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการฝึก AI ที่อาจจะสูงว่าที่คาดไว้และข้อจำกัดของจีนในการเข้าถึงไมโครชิประดับสูงสุด

อีกประเด็นหนึ่งคือ ปริมาณการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลของจีนจะคงลดลง การใช้พลังงานของ Data Center ในจีนคาดว่าจะ เติบโต 6.56% ระหว่างปี 2025 ถึง 2030 ใช้ถึง 4.8 กิกะวัตต์ (GW) ภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม หากโมเดล AI ของ DeepSeek สามารถขยายขนาดได้จริง ตัวเลขนี้อาจถูกปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

- นโยบายของสหรัฐฯ และการควบคุมการส่งออก


ประธานาธิบดีทรัมป์ คาดว่าจะดำเนินมาตรการเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา AI มากกว่าการเพิ่มกฎระเบียบควบคุม


แม้ว่าอาจมีการประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกเพิ่มเติม แต่ผลกระทบที่แท้จริงอาจมีจำกัด เนื่องจากไมโครชิปประดับสูงของ Nvidia หลายรุ่นถูกควบคุมไปแล้ว ตาม CHIPS Act และการควบคุมการส่งออกที่มีอยู่แล้ว

หากวิธีการของ DeepSeek สามารถลดการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ล้ำสมัยได้จริง มาตรการควบคุมเพิ่มเติมอาจไม่มีผลกระทบมากนักต่อความก้าวหน้าของจีน

โดยรวมแล้ว การถกเถียงเกี่ยวกับต้นทุนที่แท้จริงของ DeepSeek และความสามารถในการแข่งขันกับโมเดลระดับสูงสุด อาจเป็นปัจจัยกำหนดภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของ AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้ว่า DeepSeek-R1 อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความคาดหวังได้ทั้งหมด แต่เพียงแค่ความเป็นไปได้ในการสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยใช้ทรัพยากรที่น้อยลง อาจกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน ส่งเสริมการพัฒนาแบบ Open Source และช่วยให้การใช้งาน AI ขยายตัวออกไปไกลกว่ากรอบเดิมที่ถูกครอบงำโดยเพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น