เลอโนโวเดินหน้าปรับภาพสู่ผู้ให้บริการไอทีโซลูชันครบวงจร หลังธุรกิจ Non-PC มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริการประเภท Subscription ที่ให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงการเพิ่มบริการเช่าซื้อ-เช่าใช้ (Device as a Service) ให้องค์กรธุรกิจเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น
วรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไปประจำไทย และภูมิภาคอินโดจีน เลอโนโว กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา เลอโนโวครองอันดับ 1 ผู้ผลิต และจำหน่ายพีซีต่อเนื่องมา 6 ไตรมาส ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 21% ในปัจจุบัน และในปีนี้ ยังวางเป้าหมายรักษาตำแหน่งผู้นำต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มการเติบโตในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
สิ่งที่น่าสนใจคือรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่พีซี (Non-pc) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 46% ของรายได้รวมแล้ว ทำให้ปัจจุบัน เลอโนโวไม่ใช่แค่ผู้ผลิตพีซี แต่กลายเป็นผู้ให้บริการไอทีครบวงจร ที่รวมทั้งคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ รวมมาเป็นโซลูชันให้บริการแก่ผู้บริโภค
“ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เลอโนโวเพิ่งจดทะเบียนบริษัทลูกค้ามาให้บริการเช่าซื้อ/เช่าใช้ (Device as a Service) ทั้งอุปกรณ์พีซี และโซลูชัน ซึ่งจะกลายเป็นรูปแบบบริการที่มาช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่ลูกค้าในกลุ่มองค์กร ที่ไม่ต้องการใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตาม เลอโนโวยังมองว่าในปีนี้ อุตสาหกรรมไอทีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะ เพราะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีครั้งสำคัญ โดยทางเลอโนโวได้สรุปออกมาเป็น 9 เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ทั้งการนำ AI ไปใช้งานเฉพาะในแต่ละอุตสาหกรรมมากขึ้น ยังคงมีการลงทุน AI อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน การพัฒนา AI จะเริ่มพัฒนาไปสู่ AI Agent หรือการที่แต่ละภาคธุรกิจ มีการนำ AI ไปปรับใช้งานให้เหมาะสม ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึง และตอบโจทย์การใช้งานที่ลึกเฉพาะบุคคล หรือองค์กรมากขึ้น ส่งผลถึงการลงทุนต่อเนื่องในเรื่องของ AI และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำมาประมวลผลเพิ่มเติม
ในส่วนของคลาวด์ ปีนี้หลายธุรกิจจะเริ่มมองหาความยืดหยุ่นจากผู้ให้บริการที่หลากหลายมากขึ้น หรือการเลือกใช้งานคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่เซิร์ฟเวอร์มีปัญหา ไปจนถึงการงทุนในส่วนของ Edge Computing ที่จะช่วยให้เกิดการประมวลผลแบบเรียลไทม์ โดยที่ไม่ต้องขึ้นคลาวด์
ปัจจัยเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะยังสร้างความกังวลให้แก่ภาคธุรกิจ ในหลายๆ ประเทศมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้เกิดการลงทุนทางภัยไซเบอร์ต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะยังเติบโตจากความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และแน่นอนว่าสุดท้ายคือเรื่องของความยั่งยืน