อินเทล (Intel) เปิด 3 ปัจจัยหนุนภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) เครื่องใหม่ในปี 2025 หลังไมโครซอฟท์ ประกาศยุติการสนับสนุน Windows 10 ในเดือนตุลาคม รวมถึงการมาของ AI PC ที่จะช่วยสนับสนุนการทำงาน และบทเรียนจากเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้องค์กรต้องเตรียมพร้อมความมั่นคงทางไซเบอร์
ประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ปีนี้ ที่คาดการณ์ว่าจะเป็นปีที่องค์กรธุรกิจจำนวนมากทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนเครื่องพีซีทั้งแล็ปท็อป และเดสก์ท็อป ที่กลายเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ยิ่งกว่าช่วงสถานการณ์แพร่ระบาด และมีการเร่งให้ใช้งานเทคโนโลยีในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา
ไล่ตั้งแต่การที่ก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ในเรื่องของการอัปเดตความปลอดภัย และการสนับสนุนทางเทคนิค ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการนี้กว่า 450 ล้านเครื่องทั่วโลก ที่ไม่สามารถอัปเกรดมาเป็น Windows 11 ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ภาคธุรกิจมีความเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งาน เนื่องจากปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ไม่มีอัปเดตจากผู้ผลิตจะส่งผลให้เกิดช่องโหว่ที่อาจเกิดการโจมตีได้ ด้วยเหตุนี้หลายองค์กรจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่ในปีนี้
ถัดมาคือการมาของ AI PC ในภาคธุรกิจ หลังจากก่อนหน้านี้เริ่มเห็นการนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ผู้ผลิตชิปเซ็ต และผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการเริ่มมีการฝัง AI เข้าไปให้ใช้งานในฝั่งของคอนซูเมอร์ ก่อนที่จะมีพีซีที่ใช้งานชิปฝั่งธุรกิจออกมาจำหน่ายมากขึ้นในปีนี้
ความกังวลส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในการนำ AI มาใช้งานในองค์กรธุรกิจคือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากถ้าเป็นพีซีที่เป็นคอนซูเมอร์จะมีการใช้โมเดล AI ที่เป็นสาธารณะ ทำให้เมื่อมีการใช้งาน ข้อมูลบางส่วนที่เป็นความลับของบริษัทอาจหลุดออกไปได้
ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้คือการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ผลิตชิปเซ็ต ผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการ และผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ในการนำ AI PC มาสนับสนุนการใช้งานเครื่องมือ และซอฟต์แวร์ อย่างในตระกูลของ Intel Core Ultra และ Intel vPro ที่เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยเข้ามา
Jennifer Larson ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียล ในกลุ่มธุรกิจ ไคลเอนด์ คอมพิวติ้ง กรุ๊ป Intel ระบุว่า การป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์จำเป็นต้องพึ่งพาซิลิคอน มากกว่าซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว พร้อมชี้ว่าการป้องกันระดับฮาร์ดแวร์ที่รวมอยู่ใน Intel vPro ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม Intel vPro ยังช่วยให้ฝ่าย IT สามารถจัดการอุปกรณ์หลายพันเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยลดขั้นตอนการตั้งค่าจากปกติกว่า 24 ขั้นตอนเหลือเพียง 6 ขั้นตอน นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขปัญหาอุปกรณ์จากระยะไกลได้ แม้ในกรณีที่อุปกรณ์ปิดอยู่
“อีกเหตุผลที่ลูกค้าภาคธุรกิจเปลี่ยนมาใช้งาน Windows 11 คือเรื่องความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่เคยมีมา เพราะผู้นำด้านไอทีต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องธุรกิจไม่ให้โดนโจมตีทางไซเบอร์"
ปัจจัยสุดท้ายคือ บทเรียนจากเหตุการณ์ CrowdStrike ที่มีการอัปเดตซอฟต์แวร์ผิดพลาดจนทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 8.5 ล้านเครื่องทั่วโลกใช้งานไม่ได้ ส่งผลให้องค์กรต่างๆ ตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มความมั่นคงทางไซเบอร์และเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว ในปี 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับคอมพิวเตอร์เพื่อธุรกิจ ด้วยเทคโนโลยีที่รองรับ AI และความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์ องค์กรทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าเดิมในการขับเคลื่อนธุรกิจและปกป้องข้อมูลสำคัญจากภัยคุกคามไซเบอร์
โน้ตบุ๊ก AI PC เน้นแบตฯ ใช้งานต่อเนื่อง
นอกเหนือจากปัจจัยในการเปลี่ยนเครื่องแล้ว การแข่งขันของ AI PC ที่จะเห็นได้ชัดมากขึ้นในปีนี้ คือเรื่องของการนำความสามารถ AI เข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่อง โดยเฉพาะโน้ตบุ๊กที่มีโอกาสทำให้ตัวเครื่องบาง และเบามากขึ้น แต่ยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง
เดวิด เฟ็ง รองประธานกลุ่มคอมพิวเตอร์ไคลเอนต์ Intel ให้ข้อมูลเพิ่มว่า จากชิปเซ็ตใหม่ที่ Intel เปิดตัว ในกลุ่มของแล็ปท็อปที่ใช้ Core Ultra 200V จะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 10.5 ชั่วโมงเมื่อใช้ Microsoft Teams และ 20.3 ชั่วโมงเมื่อใช้ Microsoft 365
ในขณะที่ส่วน Ryzen AI 7 Pro 360 ของ AMD สามารถใช้งานได้ 6.1 ชั่วโมงเมื่อใช้ Windows Teams และ 13.5 ชั่วโมงเมื่อใช้ Microsoft 365 ส่วน Snapdragon X Elite ของ Qualcomm ใช้งานได้ 9.2 ชั่วโมงเมื่อใช้ Teams และ 18.5 ชั่วโมงเมื่อใช้ Microsoft 365 ตามการทดสอบของ Intel
อย่างไรก็ตาม การทดสอบของ Intel ที่แสดงให้เห็นอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นนี้ ก่อนขึ้นก่อนที่ AMD Ryzen AI และ Qualcomm Snapdragon X Elite รุ่นใหม่จะเปิดตัวช่วงเดียวกันในงาน CES 2025 ที่ผ่านมานี้
ASUS ขึ้นแท่น Copilot+ PC เบาสุดในโลก
ในงานเดียวกันนี้ ASUS ยังเป็นแบรนด์ที่นำเสนอเทคโนโลยีโน้ตบุ๊กที่น่าสนใจออกสู่ตลาด เพราะนอกจากไลน์อัปสินค้าที่อัปเกรดชิปเซ็ตใหม่แล้ว ยังนำเสนอไลน์อัปใหม่ในตระกูล Zenbook อย่าง ASUS Zenbook A14 ที่ตัวชื่อรุ่น A14 ตอนเขียนจะใกล้เคียงกับ AIR ที่สื่อถึงความเบาของตัวเครื่อง
จุดเด่นของ ASUS Zenbook A14 ซึ่งนับเป็น Copilot+ PC ที่เบาที่สุด ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องน้อยกว่า 1 กิโลกรัม ออกแบบมาให้รองรับการใช้งานได้ข้ามวันสูงสุด 32 ชั่วโมง บนตัวเลือกหน่วยประมวลผล Snapdragon X Elite และ Snapdragon X
โดยตัวเครื่องมีการนำวัสดุอย่าง ‘เซราลูมินัม’ ที่ผสมเซรามิกเข้ากับอะลูมิเนียมให้ความแข็งแรงของตัวเครื่อง และน้ำหนักเบากว่าอะลูมิเนียมถึง 30% จนทำให้โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ มีน้ำหนักเบามากเป็นพิเศษ