Facebook-TikTok ไม่รอด! กระทรวงดีอี ลากร่วมรับผิด ปล่อยเนื้อหา-โฆษณาผิดกฎหมายว่อน บีบธนาคาร-ค่ายมือถือคืนเงินเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตัดวงจรมิจฉาชีพออนไลน์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นำโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เดินหน้าเสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 หวังปิดเกมอาชญากรรมออนไลน์ที่ยกระดับความซับซ้อน
หัวใจสำคัญของการแก้ไข คือ การกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ต้อง "ร่วมชดใช้" เงินคืนให้เหยื่อที่ถูกหลอกลวง เพื่อสร้างแรงกดดันและความรับผิดชอบร่วมกัน หากผ่านมติ ครม. ในวันที่ 13 ม.ค.67 ภายใน 3 วัน นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ทันที
◉ แพลตฟอร์มออนไลน์ห้ามมึน
วงในเล่าว่า Facebook, TikTok และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ถูกกำหนดบทบาทใหม่ให้มีส่วนร่วมในการคัดกรองโฆษณาและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ หากพบการละเลย การเพิกเฉยต่อเนื้อหาที่เป็นภัย จะถือเป็นการสนับสนุนอาชญากรรม และต้องเผชิญบทลงโทษตามกฎหมาย
กดดันให้ผู้ให้บริการระดับโลกต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดจากแพลตฟอร์มของตนเอง
◉ เชือดซิมผี ปิดช่องฟอกเงิน
หนึ่งในจุดอ่อนที่ถูกใช้ซ้ำซากในอาชญากรรมออนไลน์ คือซิมการ์ดนิติบุคคล หรือ "ซิมผี" ที่ไม่มีการลงทะเบียนและถูกซื้อขายในปริมาณมหาศาล กระทรวงดีอีเตรียมหารือกับ กสทช. เพื่อออกมาตรการควบคุมเข้มข้น
ขณะเดียวกัน การเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ เป้าหมายคือการตัดเส้นทางการฟอกเงินที่เริ่มจากระบบดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซีให้หมดสิ้น
◉ 3 เดือนปิดเพจผิดกฎหมายเพิ่ม 69%
ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 68 (ต.ค.-ธ.ค.67) กระทรวงดีอีดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ผิดกฎหมายได้กว่า 52,691 รายการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 69% ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดและการปราบปรามที่ได้ผล
แม้กฎหมายและมาตรการจะเข้มงวดขึ้น แต่คำถามสำคัญ คือ อาชญากรไซเบอร์จะถูกปิดทางอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือจะหาช่องโหว่ใหม่ในการก่ออาชญากรรม? และสิ่งที่ต้องจับตา คือ ความสามารถของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับตัวและปิดช่องโหว่ในระยะยาว