xs
xsm
sm
md
lg

พี่มาร์กเลิกอุ้ม! Meta อนุญาตชาว Facebook เรียกคนหลากหลายทางเพศเป็น "ผู้ป่วยทางจิต"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยุคนี้ทุกคนต้องแกร่งขึ้น! เพราะ 9 มกราคม 2025 คือวันที่เมตา (Meta) เปลี่ยนนโยบายการควบคุมเนื้อหาของบริษัท โดยเฉพาะคำพูดแสดงความเกลียดชังและการละเมิดทางออนไลน์ ล่าสุด กฎใหม่อนุญาตให้มีการกล่าวหาผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นผู้ป่วยทางจิต ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจมีผลกระทบต่อการสื่อสารและการโต้ตอบทั้งใน Facebook, Instagram และ Threads ซึ่งมีฐานผู้ใช้หลายพันล้านคน

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Meta กล่าวเมื่อวันอังคารที่ 7 มกราคม 2568 ว่าบริษัทจะยกเลิกข้อจำกัดในหลายหัวข้อที่ไม่สอดคล้องกับกระแสหลัก เช่น การย้ายถิ่นฐานและเพศ โดยอ้างถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ว่าเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง

จากการตรวจสอบนโยบายการควบคุมเนื้อหาใหม่ พบว่าหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ Meta อนุญาตให้มีการกล่าวหาว่าคนที่มี "รสนิยมทางเพศ" หรือ "อัตลักษณ์ทางเพศ" แตกต่างจากมาตรฐานทางสังคมว่าเป็น "ผู้ป่วยทางจิต" หรือ "ผิดปกติ" ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ การดูถูกสติปัญญาหรือจิตใจของบุคคลถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามนโยบายเดิม

รายงานระบุว่าในแนวทางใหม่ บริษัทได้เพิ่มข้อยกเว้น โดยเติมข้อความดังนี้

"เราอนุญาตให้มีการกล่าวหาผู้คนว่ามีอาการทางจิตหรือผิดปกติ เมื่อกล่าวถึงเรื่องเพศหรือรสนิยมทางเพศที่อ้างอิงกับการสนทนาเรื่องความเชื่อทางการเมืองและศาสนา เกี่ยวกับการเป็นคนข้ามเพศและความเป็นเกย์ รวมทั้งการใช้คำที่ไม่จริงจัง เช่น แปลก"

***เสรี ดีหรือเสีย?

การขยายขอบเขตการอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถกล่าวถึงความหลากหลายทางเพศในแง่ลบนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดทางการเมืองและสังคมเกี่ยวกับประเด็นการเป็นคนข้ามเพศและการยอมรับเกย์กำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในบางประเทศที่การพูดถึงความหลากหลายทางเพศยังคงถูกมองในแง่ลบ นโยบายดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถแสดงออกได้อย่างเสรีมากขึ้น ในเรื่องของความแตกต่างทางเพศ


อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนนโยบายรอบนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรที่สนับสนุน LGBTQ เช่น GLAAD ที่ได้ออกมาประณามการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นการสนับสนุนการล่วงละเมิดและความเกลียดชังต่อกลุ่มคนที่เปราะบาง รวมถึงการเพิ่มความเสี่ยงในการสร้างความรุนแรงและการเหยียดเชื้อชาติ

ซาราห์ เคต เอลลิส (Sarah Kate Ellis) ประธานและ CEO ของ GLAAD กล่าวในแถลงการณ์ว่า Meta กำลังก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการโจมตีกลุ่ม LGBTQ รวมถึงกลุ่มผู้หญิง ผู้อพยพ และกลุ่มที่ด้อยโอกาสอื่นๆ ด้วยความเกลียดชัง ความรุนแรง และการทำให้คนเหล่านั้นไร้มนุษยธรรม

นอกจากความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิและความปลอดภัยของกลุ่มคนที่เปราะบางโดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังถูกโยงกับความพยายามของ Meta ในการปรับท่าทีให้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งพยายามชูข้อดีเรื่องการเพิ่มเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นำไปสู่การสร้างพื้นที่สำหรับการอภิปรายทางการเมืองและสังคม ซึ่งเจ้าของแพลตฟอร์มอาจจะมีความสะดวกในการจัดการเนื้อหามากขึ้น และลดทรัพยากรในการควบคุมเนื้อหาลงได้

*** Meta แบรนด์พัง?

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Meta นั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ เพราะการเปิดกว้างในการอนุญาตให้แสดงความคิดเห็นที่อาจเป็นการเหยียดหยามหรือพูดเกลียดชังอาจส่งผลเสียต่อบริษัทที่ใช้โซเชียลมีเดียของ Meta ในการทำการตลาด โดยเฉพาะกับแบรนด์ที่มีค่านิยมในการสนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียม เช่น บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แฟชั่น หรือการดูแลสุขภาพ ซึ่งอาจเสียภาพลักษณ์หากการโฆษณาหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องถูกเชื่อมโยงกับการพูดเกลียดชัง

 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
ในอีกด้าน นโยบายใหม่ของ Meta ยังอาจมีผลกระทบด้านการแข่งขันในตลาดโซเชียลมีเดีย เพราะอาจเปิดโอกาสให้กับคู่แข่ง เช่น X (เดิมชื่อ Twitter), TikTok หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่อาจใช้การควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้ในการดึงดูดผู้ใช้และโฆษณาจากแบรนด์ต่างๆ

***ยกเลิกตรวจ Fact


ในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง นโยบายใหม่ Meta ได้ประกาศยกเลิกการใช้ระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พึ่งพาพันธมิตรองค์กรที่เชื่อถือได้ และจะเปลี่ยนไปใช้ระบบที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งคล้ายกับระบบของ X (เดิมชื่อ Twitter) ที่ให้ผู้ใช้สามารถแนะนำข้อคิดเห็นหรือข้อสังเกต (Note) ต่อเนื้อหาของผู้อื่นได้และให้ผู้ใช้โหวตว่าจะเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวหรือไม่

นอกจากนี้ Meta ยังได้ยกเลิกกฎบางประการที่ห้ามการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามบุคคลตามเชื้อชาติ เชื้อสาย ความพิการ ความแตกต่างทางเพศ และกลุ่มที่ได้รับการคุ้มครองต่างๆ อีกทั้งยังมีการยกเลิกข้อกำหนดที่ห้ามการแสดงความเกลียดชังโดยอ้างอิงถึงกลุ่มที่มีการป้องกันพิเศษ รวมถึงการใช้คำพูดที่ลดคุณค่าของบุคคลเช่น “มัน” เมื่อพูดถึงคนข้ามเพศหรือบุคคลที่ไม่ระบุเพศ

ที่สุดแล้ว แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการแสดงความคิดเห็น แต่มีความวิตกกังวลว่า การยกเลิกการควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดผลกระทบในโลกจริง โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อมูลผิดๆ หรือคำพูดที่เกลียดชังสามารถกระตุ้นความรุนแรงทางสังคมหรือการเหยียดเชื้อชาติได้ ซึ่งมีประวัติการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ในหลายประเทศ เช่น ในพม่า ที่แพลตฟอร์มของ Meta เคยถูกใช้เพื่อกระตุ้นความเกลียดชังและความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์โรฮิงญา

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงยังคงเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามอง และยังไม่มีการยืนยันว่า Meta จะมีมาตรการที่สามารถจัดการกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น