"หัวเว่ย คลาวด์" สุดภูมิใจหลังธุรกิจเติบโต 30 เท่าใน 5 ปี ล่าสุดเปิดตัวโซลูชันใหม่ การันตีอัปเกรดล้ำสมัยพร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
เจิง ซิงหยุน (Zeng Xingyun) ประธานหัวเว่ย คลาวด์ ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ย คลาวด์เติบโตขึ้นถึง 30 เท่าในตลาดเอเชียแปซิฟิก และก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ 5 อันดับแรก
"ความสำเร็จที่โดดเด่นนี้เกิดจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างระบบนิเวศในท้องถิ่นที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน"
หัวเว่ย คลาวด์ นั้นเป็นหน่วยธุรกิจของหัวเว่ย ซึ่งวางตัวเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์รายใหญ่ หลังจากก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2530 วันนี้หัวเว่ยมีพนักงานรวม 207,000 คน ดำเนินธุรกิจในกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ให้บริการผู้คนมากกว่า 3,000 ล้านคนทั่วโลก
ความคืบหน้าล่าสุด คือ หัวเว่ย คลาวด์ได้เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล โดยเปิดตัวโซลูชันใหม่ล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI พร้อมการอัปเกรดเชิงกลยุทธ์ บริษัทมุ่งไปที่การยกระดับศักยภาพขององค์กรธุรกิจเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล มุ่งนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของข้อมูล
เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น หัวเว่ย คลาวด์ ได้เปิดตัว 2 โซลูชันอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้แก่ CloudPond และ CodeArts ในงาน Huawei Cloud Thailand Gala Dinner 2024 โดย CloudPond มุ่งเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถปรับใช้บริการคลาวด์สาธารณะได้โดยตรง ณ สถานที่ของตัวเอง รองรับบริการคลาวด์ชั้นนำมากกว่า 30 รายการ มุ่งเน้นการจัดเก็บข้อมูลให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัย พร้อมลดเวลาแฝงในการให้บริการให้ต่ำกว่า 5 มิลลิวินาที
ขณะที่ CodeArts เป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาซอฟต์แวร์บนคลาวด์แบบครบวงจร ที่ขับเคลื่อนโดยโมเดลการวิจัยและพัฒนาของหัวเว่ย คลาวด์ Pangu ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโค้ดบริการ เพิ่มคำอธิบาย และสร้างกรณีทดสอบโดยอัตโนมัติ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการเข้าถึงที่ครอบคลุมทั่วโลก มีองค์กรกว่า 10,000 แห่ง และนักพัฒนากว่า 3.5 ล้านคน โดย CodeArts ได้เป็นผู้นำในด้านกลยุทธ์และตลาดแพลตฟอร์ม DevOps ในประเทศจีนมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้ดำเนินการพัฒนาโซลูชันต่างๆ รวมถึง DataArts, MetaStudio และ GaussDB
DataArts มอบโซลูชันขั้นสูงสำหรับการรวมข้อมูล การจัดเก็บ และการบริหารจัดการข้อมูล รองรับแหล่งข้อมูลมากกว่า 30 แหล่ง พร้อมการจัดการเมทาดาต้า (Metadata) การอัปเกรดสำคัญประกอบด้วยสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัย (LakeHouse) การปรับใช้ที่ยืดหยุ่น เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามภูมิภาคและข้ามแหล่งข้อมูลได้ถึง 10 เท่า การรวมข้อมูลและจัดการเมทาดาต้า (Metadata) และเวิร์กโฟลว์ (workflow) ที่เป็นระบบเดียวกันในคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Data lake) ช่วยเพิ่มการใช้ทรัพยากรได้ 3 เท่า
เซลีน เกา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คลาวด์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดตัวโซลูชันและการอัปเกรดใหม่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ความเป็นผู้นำของหัวเว่ย คลาวด์ในด้านประสบการณ์การให้บริการในประเทศไทย หัวเว่ย คลาวด์ครองตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยความหน่วงเวลาเพียง 12 มิลลิวินาที และตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ย คลาวด์มีปลอดภัย โดยมีมาตรการการป้องกันที่แข็งแกร่งและการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยกว่า 150 รายการ นอกจากนี้ อัตราการให้บริการ SLA หลักของหัวเว่ย คลาวด์ยังสูงกว่า 99.99% โดยไม่มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นในปี 2566
“หัวเว่ย คลาวด์ ยังคงมุ่งมั่นในการเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านโซลูชันคลาวด์อัจฉริยะและระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง การเปิดตัวโซลูชันและอัปเกรดในครั้งนี้ สะท้อนถึงพันธกิจของหัวเว่ยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรธุรกิจในระดับสากล”
นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ได้มอบรางวัลนวัตกรรม (Innovation Awards) ให้แก่ลูกค้าที่มีผลงานโดดเด่นในการยกระดับประสบการณ์การให้บริการ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคลาวด์อันล้ำสมัย พร้อมทั้งมอบรางวัลความเป็นเลิศ (Excellence Awards) ให้แก่ลูกค้าที่พัฒนาโซลูชันที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนความก้าวหน้าในอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน หัวเว่ย คลาวด์ยังมอบรางวัลให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเชิดชูความสำเร็จและการสนับสนุนที่โดดเด่นตลอดมา พร้อมกันนี้ยังได้มอบรางวัลและของรางวัลให้แก่ผู้ชนะจากการแข่งขัน Huawei ICT Competition 2024-2025 โดยผู้ชนะ 3 ทีม ได้แก่ ทีม Union จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (Network Track) ทีม Bearx5 (Cloud Track) และทีม Compnet (Computing Track) จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ทีมจะเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบภูมิภาคในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
