ผลการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยร่วงลง 2 อันดับปีล่าสุด สถาบัน IMD ชี้ไทยตกชั้นจากอันดับ 35 มาอยู่อันดับ 37 จากทั้งหมด 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก สถิตินี้สะท้อนให้เห็นความท้าทายในการผลักดันประเทศสู่การเป็นชาติดิจิทัล หรือ Digital Nation ท่ามกลางกูรูที่ประสานเสียงว่าฝันนี้จะเป็นจริงได้เมื่อไทยประสบความสำเร็จในการปรับตัวมากกว่านี้
สถิติการจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยถูกนำมาถกบนเวทีงานสัมมนา “Digital Nation: Making it Happen” ซึ่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้เชิญกูรูมาวิเคราะห์ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2567 ซึ่งผลการอภิปรายนั้นสรุปได้ว่าการผลักดันไทยสู่ Digital Nation นั้นจะต้องอาศัยทั้งพลังของรัฐที่ต้องลงทุนเร่งพัฒนา Ecosystem รวมถึงการปรับกฎหมาย ระเบียบกฎเกณฑ์ และแนวคิด คู่กับเอกชนที่ต้องเพิ่มศักยภาพพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างคน สร้าง Ecosystem และที่ขาดไม่ได้คือการเร่งลงทุนด้านความปลอดภัย Cyber Security
สำหรับขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัลไทย ข้อมูลระบุว่าลดลงจาก 35 เป็น 37 นอกจากนี้ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยก็หล่นมาอยู่อันดับที่ 23 ลดลง 8 อันดับจาก 15 ขณะที่ด้านความรู้ สถิติปรับตัวขึ้นเป็น 40 จาก 41 ในปี 2566 และความพร้อมสำหรับอนาคต ปรับขึ้นเป็น 41 จากอันดับ 42 ในปี 2566
***ไทยร่วง สิงคโปร์ยืนหนึ่ง
ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการ World Competitiveness Center จาก International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่าแม้ไทยจะมีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและความคล่องตัวของภาคธุรกิจในการปรับตัวสู่เทคโนโลยีดิจิทัล แต่ยังมีความท้าทายสำคัญในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความพร้อมของเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ร่วงลง 8 อันดับจากอันดับ 15 มาอยู่อันดับ 23 ดังนั้น ไทยจึงต้องเร่งพัฒนาด้านการลงทุนและบุคลากร รวมถึงการบูรณาการด้านไอที
ศาสตราจารย์อาร์ทูโรอธิบายว่า ขอบเขตของการเป็น Digital Nation นั้นต้องมองจากหลายมิติ ทั้งมิติของภาครัฐ ภาคธุรกิจ และการส่งต่อประโยชน์สู่ประชาชน โดย 3 ปัจจัยสำคัญสู่การเป็น Digital Nation คือความรู้และทักษะของบุคลากรด้านดิจิทัล ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และความพร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งประเทศที่มีคะแนนสูงใน 3 ด้านนี้คือสิงคโปร์
ผลการวิเคราะห์ของ IMD ชี้ว่าประเทศที่ส่งเสริมความรู้และพัฒนาคนให้เก่งขึ้นเป็นอันดับต้นๆ คือสิงคโปร์ เดนมาร์ก และเกาหลีใต้ ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์ ครองอันดับ 1 ด้าน Digital Nation ทั้งด้านองค์ความรู้และด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังครองเบอร์ 1 ด้านความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล รวมถึงความพร้อมสำหรับอนาคตที่สิงคโปร์อยู่ในอันดับ 1 เช่นกัน
สำหรับไทยที่ผลการวิเคราะห์ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลประจำปี 2567 อยู่ในอันดับ 37 ลดลง 2 อันดับจากอันดับ 35 ในปี 2566 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ศาสตราจารย์อาร์ทูโรมองว่า "การขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ" อาจจะไม่ใช่เป้าหมายของประเทศไทย เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจของไทยมีความแตกต่างจากประเทศอื่น และยังมีปัจจัยอื่น เช่น ดิจิทัลโมเดลที่มีจุดอ่อนหรือจุดแข็งต่างกันด้วย
ดังนั้น ข้อแนะนำเพื่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลประเทศไทย คือรัฐบาลต้องลงทุนทั้งด้านบุคลากร พัฒนาด้านดิจิทัล เสริมสร้างคนเก่งเพื่อยกระดับประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเป็นกลไกหลักและทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อลดขั้นตอนให้สั้นลง เช่น กฎระเบียบ เพื่อเปิดประตูให้ประเทศไทยพัฒนาและขยับอันดับความสามารถของไทย
***ปมอยู่ที่ STEM
นายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธาน Center for Competitiveness สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ระบุว่า ปัญหาสำคัญของไทยคือการขาดแคลนบุคลากรด้าน STEM โดยเฉพาะด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ผลิตได้น้อยกว่าความต้องการมาก จำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชนเพื่อผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงความต้องการ
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แม้ไทยจะมีกฎหมายออกมารองรับแล้ว แต่ยังต้องสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ สามารถปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจให้องค์กรเร่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยอมรับว่าแม้แต่ในระบบราชการก็ยังไม่มีบุคลากรที่มีความรู้จริงในขณะนี้ ดังนั้นจุดสำคัญคือการเปลี่ยนแปลง สร้างแพลตฟอร์ม เปลี่ยนมายด์เซ็ต และร่วมกับเอกชนเพื่อสร้างคนให้มากขึ้น และหากต้องการจะทำให้ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้มีประสิทธิภาพ จะต้องเปลี่ยนนโยบาย
"ถ้าเรายังพัฒนาในรูปแบบเดิม จะมีปัญหา โดยเฉพาะในด้าน Cyber Security ที่ต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ ไม่ใช่ต้องเรียน 4 ปี แม้แต่ในระบบราชการก็ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้จริง"
***เอกชนยังน่าห่วง
ในขณะที่ไทยถูกวิเคราะห์ว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลลดลง พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เผยว่าไทยมีอันดับดัชนีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หรือ GCI ที่ดีขึ้น จากอันดับ 44 มาอยู่อันดับ 7 ของโลก ซึ่งแม้ตัวเลขจะดี แต่ยังมีความกังวลในภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องเร่งยกระดับ
“เราต้องมีกฎหมายส่งเสริมพัฒนาและสนับสนุนเพื่อสร้างความพร้อมประเทศ และเพื่อขยับสถานะประเทศ ลดปัญหาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ รัฐต้องลงทุน โดยเฉพาะในส่วนของไซเบอร์ เราลงทุนพัฒนาหน่วยงาน ปรับและพัฒนาบุคลากร และโครงการเพื่อพัฒนาคน โลกเปลี่ยนไปเยอะมาก ต้องเปลี่ยน Mindset เพื่อสร้างโอกาส สร้างแนวทางและสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ”
***อิมพอร์ตต่างชาติคือทางออก?
นายอริยะ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Transformational มองว่า ไทยควรมีทางลัดเพื่อการพัฒนาให้ทัดเทียมประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างสิงคโปร์ อินเดีย และเกาหลีใต้แบบไม่สร้างเอง โดยในขณะที่ไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ผลิตวิศวกรด้านเทคโนโลยี ควรเปิดรับชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญ ควบคู่กับการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนในประเทศ เพื่อสร้างคนที่มีทักษะด้านดิจิทัลมากขึ้นต่อเนื่องแบบไม่ต้องใช้เวลา
"สิ่งที่เราขาดคือคนและความรู้อย่างลึกซึ้ง จะแก้ปัญหานี้ได้ถ้าเราอิมพอร์ตผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเลย ส่วนเรื่องการศึกษา ทำอย่างไรให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน เช่น AI มา ต้องเพิ่มองค์ความรู้ เพิ่มทักษะด้าน AI เพื่อสร้างคนให้มีทักษะด้านดิจิทัลมากขึ้น"
ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ อริยะชี้ว่าหน่วยงานส่วนใหญ่มองการลงทุนเรื่อง Cyber Security ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สร้างรายได้ แต่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงและสร้างความเข้าใจในเรื่องโลกของเทคโนโลยี ที่จะต้องเริ่มจากคน โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ต้องเข้าใจและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ให้ได้
ที่สุดแล้ว การก้าวสู่ Digital Nation ของไทยจะต้องอาศัยการพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล การพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงกฎระเบียบ และการลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกดิจิทัล ความท้าทายสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และการสร้างความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งต้องเริ่มจากการพัฒนาคนก่อนสิ่งอื่น