เปิดประวัติ "เจนเซน หวง" หรือ Jensen Huang ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทหน่วยประมวลผลกราฟิก "เอ็นวิเดีย" (Nvidia) ที่กำลังจับมือกับกลุ่ม CP ตั้งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์พลังชิป Nvidia ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แห่งภูมิภาค แต่ล่าสุด หุ้นของ NVIDIA กลับลดลงเกือบ 10% หลังจากมีรายงานว่าทางการสหรัฐฯ กำลังเพิ่มการสอบสวนว่า Nvidia ละเมิดกฎหมายการแข่งขันหรือไม่
ชื่อของ Nvidia ได้รับความสนใจล้นหลามจากชาวโลก เพราะมูลค่าหุ้นที่พุ่งทะยานทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งเกินหลัก 3.55 ล้านล้านดอลลาร์ ผลจากความเฟื่องฟูของ AI ที่ทำให้ Nvidia ขึ้นเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกของโลกที่มีมูลค่าทะลุล้านล้านดอลล์
Huang ไม่ได้มีชื่อเสียงแต่เพียงในแง่การเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเด่นที่การสวมแจ็กเกตหนังอันเป็นเอกลักษณ์ด้วย ซึ่งในช่วงหลายสิบปีที่ Nvidia ถูกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มั่งคั่งที่สุด Huang ก็พยายามสร้างความแตกต่างให้คนจดจำ ด้วย “แจ็กเกตหนังซิกเนเจอร์” ที่ Huang มักจะสวมขึ้นเวทีเปิดตัวสินค้าหลายรุ่นอย่างต่อเนื่องจนได้รับความสนใจจากชาวโลก
ก่อนหน้านี้ Huang ได้ขึ้นปกนิตยสาร Time โดยสวมแจ็กเกตอย่างภูมิใจ บนเสียงยกย่องจากสื่อมวลชน ที่มองว่าสไตล์ที่โดดเด่นของ Huang กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการ และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
***เจนเซน หวง เป็นใคร?
Jensen หรือ Jen-Hsun Huang นั้นเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน ก่อนจะสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังจากการเป็นซีอีโอของบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) และปัญญาประดิษฐ์ เด็กชาย Huang เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1963 ในเมืองไถหนาน ไต้หวัน ก่อนจะอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุยังน้อย จนสามารถผงาดเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
Huang ร่วมก่อตั้ง Nvidia ในปี 1993 และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเติบโตและความสำเร็จของบริษัท ภายใต้การนำของ Huang บริษัท Nvidia ได้กลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ สามารถปฏิวัติวงการกราฟิกคอมพิวเตอร์และขับเคลื่อนความก้าวหน้าในเทคโนโลยี GPU
ในอีกด้าน Huang ถูกยกว่าเป็นเจ้าของวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อน Nvidia ให้ขยายตัวสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ Nvidia มีส่วนร่วมกับยุคที่ AI และระบบอัตโนมัติกำลังเฟื่องฟูได้สำเร็จ
สิ่งที่ทำให้โลกสนใจ Jensen Huang คือการกล่าวสุนทรพจน์ที่สนุกสนานและมีเสน่ห์บนเวที การนำเสนอที่มีพลังทำให้ Huang กลายเป็นไฮไลต์ของการประชุมและกิจกรรมทางเทคโนโลยีหลายครั้ง สไตล์การนำเสนอที่กระตือรือร้นของ Huang บวกกับความหลงใหลในเทคโนโลยีทำให้คำพูดของ Huang ให้อารมณ์ที่น่าจดจำและสนุกสนาน สะท้อนความสามารถของ Huang ในการดึงดูดให้ผู้ชมตื่นเต้นไปกับแนวคิดทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน เสริมให้แบรนด์ Nvidia ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
Huang ยังเป็นที่รู้จักจากสไตล์ส่วนตัวที่โดดเด่น แจ็กเกตหนังซิกเนเจอร์ของ Huang ทำให้ผู้ใช้ Reddit ลุกขึ้นมาค้นหาที่มาของแจ็กเกตที่ Huang สวม จากการตรวจสอบฐานข้อมูลภาพถ่ายของสำนักข่าวรอยเตอร์ พบว่าทุกภาพของ Huang ตั้งแต่ปี 2013 ล้วนสวมเสื้อแจ็กเกตหนัง โดยยกเว้นเพียงปี 2009-2010 ที่ Huang เลือกสวมเสื้อยืดคอปกสีดำ
นอกจากนี้ ผู้ใช้ Reddit ยังย้อนดูวิดีโอจากปี 2011 ที่ Huang ไปเยือนมหาวิทยาลัย Stanford ด้วยกางเกงยีนส์สีน้ำเงินและเสื้อโปโลสีดำ ซึ่งแปลว่าแจ็กเกตซิกเนเจอร์ยังไม่ได้แจ้งเกิด หรือปรากฏตัวสู่สายตาสาธารณชนในเวลานั้น
ยังไม่มีความแน่ชัดว่าการตัดสินใจของ Huang ที่จะเลือกสวมแจ็กเกตหนังขึ้นเวทีนั้นได้รับอิทธิพลจากสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Apple ผู้ล่วงลับไปแล้วหรือไม่ ก่อนหน้านี้ Jobs ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในการสวมเสื้อคอเต่าสีดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน และรองเท้าผ้าใบสีขาวเป็นชุดประจำวัน แต่ Jobs อธิบายว่าเป็นเพราะความง่ายและลดการใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่จะสวมใส่ ซึ่ง Huang ยังไม่ได้ออกมาตอบรับเหตุผลนี้อย่างเป็นทางการ
นอกเหนือจากบทบาทที่ Nvidia และภาพลักษณ์การแต่งตัว Huang ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเรื่องการกุศลด้วย ทั้งการสนับสนุนโปรเจกต์ด้านการศึกษาและการส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอีกหลายทาง ทั้งหมดส่งเสริม Huang มีภาพความใจดีคู่ความเก่งไม่แพ้ใคร
***ร่วมอีเวนต์กับท่านประธาน
สำหรับการมาประเทศไทยของ Huang เมื่อ 4 ธ.ค.67 นั้นไม่ได้มีการพบปะกับ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังเข้าร่วมอีเวนต์กับท่านประธาน "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งยกทีม CP ร่วมเซ็น MOU กับ Nvidia แบบชื่นมื่น แน่นอนว่า 2 บริษัทนี้ไม่ได้ลงนามใน MOU โดยตรง แต่ทำผ่านบริษัทชื่อ "ทรู ไอดีซี" และ "สยามเอไอคลาวด์"
บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) เป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ที่ทำธุรกิจด้านบริการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ ให้บริการศูนย์ข้อมูลทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ข่าวล่าสุดคือ ทรู ไอดีซี ประกาศลงทุนเพิ่มกว่า 10,000 ล้านบาท ในการขยายศักยภาพธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ครั้งใหญ่ การลงทุนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 67 ประกอบไปด้วยหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการขยายดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทรู ไอดีซี อีสต์ บางนา แคมปัส และทรู ไอดีซี นอร์ท เมืองทอง โครงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเพื่อก้าวเป็น Green Data Center เต็มรูปแบบ และโครงการพัฒนาความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ยิงยาวตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2570
ซีพีย้ำว่าโครงการทั้งหมดของ ทรู ไอดีซี จะเพิ่มขีดความสามารถให้บริษัทในการรองรับธุรกิจของไฮเปอร์สเกลเลอร์ ผู้ให้บริการโอทีที และผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีชั้นนำจากต่างประเทศที่กำลังยกขบวนเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่บริษัท สยามเอไอ คอร์ปอเรชั่น (สยามเอไอคลาวด์) เป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งประสิทธิภาพสูงที่เป็น Nvidia Cloud Partner รายแรกในไทย ตัวบริษัทนั้นก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม 2567 เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง OneAsia และ OBON สยามเอไอระบุบนเว็บไซต์ว่ามุ่งเน้นให้บริการคลาวด์สำหรับการคำนวณประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการประสิทธิภาพ GPU เพื่อเร่งงานประมวลผล
แม้จะเป็นบริษัทใหม่ แต่สยามเอไอนำโดยคีย์แมนคนสำคัญ "รัตนพล วงศ์นภาจันทร์" ซึ่งมีดีกรีเป็นประธานของ OBON
รัตนพล วงศ์นภาจันทร์ เป็นบุตรชายของ วีระชัย วงศ์นภาจันทร์ และเยาวรัตน์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้ สยามเอไอ ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือที่สำคัญหลายอย่างกับ NVIDIA, ByteDance และมหาวิทยาลัยไทยหลายแห่ง โดยมั่นใจว่าความร่วมมือเหล่านี้ช่วยผลักดันการนำ AI มาใช้ในประเทศไทยและทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้าน AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้ง 2 บริษัทได้เป็นผู้แทน CP และ Nvidia ในการลงนามครั้งนี้ จุดประสงค์ที่มีการประกาศสู่สาธารณชนคือเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI และเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยบนเวทีโลก ในฐานะพันธมิตรด้านคลาวด์ หรือ Nvidia Cloud Partner รายแรกของประเทศไทย แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่ได้ประกาศ คือแนวโน้มของการพาเหรดย้ายดาต้าเซ็นเตอร์มายังประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะเป็นสมรภูมิที่สนุกสนานโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค และวงการคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์ไทยจะแข่งขันดุเดือดเลือดสาดไปอีกอย่างน้อย 3 ปี ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ความน่ากังวลของดีลนี้คือการผูกขาด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบด้านราคาที่ผู้ใช้ต้องจ่ายแบบต่อเนื่อง โดยช่วงสิงหาคมที่ผ่านมา Nvidia เป็นข่าวถูกสอบสวนการผูกขาดจนทำให้หุ้นร่วง 2.4-10% ทำให้มูลค่าของบริษัทลดลง 279 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
รายงานระบุว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ส่งหมายเรียกไปยัง Nvidia และบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่กังวลว่า Nvidia อาจทำให้ลูกค้าหันไปใช้ซัปพลายเออร์เซมิคอนดักเตอร์รายอื่นได้ยากขึ้น และลงโทษผู้ซื้อที่ไม่ใช้ชิป AI ของ Nvidia ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างก็ได้
ในส่วนประเทศไทยที่เป็นผู้ใช้ และไม่ได้มีส่วนมากนักกับการวิจัยหรือพัฒนา จำเป็นต้องติดตามข่าวการสอบสวนนี้ให้ดี เพื่อจะได้ตามทันเหตุการณ์และคว้าฝันในการเป็นฮับ AI ของภูมิภาคอย่างที่ตั้งใจ