นวัตกรรมด้านการเกษตรยั่งยืนคือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเกษตรกรไทยสู่การก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเกษตรในระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชนต่างเห็นพ้องกันว่าการขยายโอกาสในการเข้าถึงโซลูชันด้านการเกษตรอัจฉริยะจะเป็นเครื่องมือสำคัญสู่การพัฒนาสินค้าทางการเกษตรที่ยั่งยืนในอนาคต
นอกจากนี้ การสนับสนุนเกษตรกรไทยที่ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยด้วยการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างงานสำหรับเกษตรกรไทยในอนาคตให้มีการเพิ่มผลผลิตที่ดีเยี่ยม
รวมถึงสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตให้สูงขึ้น รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลกด้านการส่งออกสินค้าเกษตรเพราะสินค้าทางการเกษตรของไทยอย่างข้าวและทุเรียนกำลังประสบปัญหาด้านการแข่งขัน กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน มาเลเซีย และเวียดนามสูงมาก รวมทั้งการวางแผนในเรื่องระบบการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืนที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเตรียมแผนรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งนี้ ประกอบด้วย คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ร่วมกับศาสตราจารย์ ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายสมศักดิ์ สมานวงศ์ นายกสมาคมอารักขาพืชแห่งประเทศไทย (TCPA) ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาคการเกษตรของไทยต้องเร่งเปลี่ยนแปลงไปสู่นวัตกรรมทางการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรของไทยซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศและใช้แรงงานกว่า 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ กลับสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยเพียง 8% ของ GDP เท่านั้น แม้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่ภาคส่วนนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำกัด
นอกจากนี้ ความรู้ด้านการเกษตรที่ยั่งยืนของเกษตรกรไทยยังมีจำกัด รวมทั้งต้นทุนเริ่มต้นที่สูงสำหรับการใช้งานโซลูชันอัจฉริยะ จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2566 พบว่าเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาเครื่องมือทางการเกษตรกรรมที่ล้าสมัย
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้ซ้ำเติมปัญหามากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อผลผลิตและราคาสินค้าการเกษตร สำหรับการเปลี่ยนแปลงสู่การเกษตรที่ยั่งยืนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งผลักดันให้ทันกับยุคสมัยและสภาวะอากาศของโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน
มณฑา ไก่หิรัญ ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาตการปฏิวัติการเกษตรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเป็นไปได้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง 5 ด้านหลักที่สำคัญได้แก่ 1.ด้านเทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนจากการเกษตรที่ใช้แรงงานหนักมาเป็นการเกษตรอัตโนมัติ 2.ด้านเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนจากการพึ่งพาคนกลางมาเป็นการสร้างรายได้โดยตรงจากการเกษตร
3.ด้านตลาด หมายถึง การเปลี่ยนจากตลาดที่ถูกควบคุมโดยคนกลางมาเป็นตลาดเสรี 4.ด้านสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนจากการเกษตรที่สร้างขยะมาเป็นการเกษตรที่ลดการสูญเสีย 5.ด้านการกำหนดตำแหน่งผู้นำ โดยวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเกษตรในภูมิภาคอาเซียน เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่ การก่อตั้งสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีเกษตรที่มุ่งเน้นนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น การเชื่อมต่อเกษตรกรเข้าด้วยกันจะช่วยให้การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแพร่หลายและส่งเสริมการเติบโตร่วมกัน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดให้นวัตกรรมเป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์การเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (2560-2579) โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อปรับปรุงการวางแผนการเกษตร โครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการพัฒนาเกษตรกรอัจฉริยะ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ยังได้พัฒนาเกษตรกรกว่า 29,000 คนทั่วประเทศด้วยเทคนิคการทำเกษตรอัจฉริยะ และช่วยลดต้นทุนผ่านการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเปลี่ยนมาใช้สารเคมีเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้นเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยปรับตัวสู่การปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นอันตราย ขณะที่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งเสริมสุขภาพสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของภาคการเกษตรของไทย
เพื่อต่อยอดความสำเร็จนี้ รัฐบาลได้วางแผนใช้เทคโนโลยีการเกษตรแบบแม่นยำเพื่อเพิ่มผลผลิต และความมั่นคงทางอาหาร ขณะเดียวกัน ก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ความต้องการอาหารที่ผลิตอย่างยั่งยืนในตลาดส่งออกสำคัญ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และอเมริกาเหนือ กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายสมศักดิ์ สมานวงศ์ นายกสมาคมอารักขาพืชแห่งประเทศไทย (TCPA) กล่าวว่า ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการทำให้กระบวนการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นเรื่องง่ายขึ้น พร้อมทั้งเสนอการสนับสนุนเฉพาะทาง และปรับปรุงการเข้าถึงโซลูชันที่ทันสมัยและยั่งยืนสำหรับเกษตรกร โดยมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การสนับสนุนจากภาครัฐที่แข็งแกร่งในขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเกษตรกรไทยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยให้เกิดโซลูชันที่ชาญฉลาดและยั่งยืนสำหรับพืชผลที่มีคุณภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารของโลก
ด้วยการแข่งขันที่สูงจากประเทศเพื่อนบ้าน ผู้เชี่ยวชาญมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้ระบุว่า เทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นกุญแจสำคัญในภาคส่วนนี้ ประเทศไทยมีสตาร์ทอัปด้านเกษตรกรรมกว่า 80 ราย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท
“ยังมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมและการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อเสริมพลังให้เกษตรกรสามารถขยายการเติบโตให้ดียิ่งขึ้น การคว้าโอกาสนี้ต้องการการลงมืออย่างรวดเร็วและการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะช่วยวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมเกษตรที่ยั่งยืน”