จากอุทกภัยในภาคเหนือของประเทศไทยในปี 2567 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงและแพร่หลายครอบคลุมพื้นที่กว่า 8.6 ล้านไร่ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยประมาณระหว่าง 30,000 ถึง 40,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยวิจัยกรุงศรีเผยให้เห็นภาพความเสียหายยิ่งกว่า โดยคาดการณ์มูลค่าความสูญเสียรวมสูงถึง 46,500 ล้านบาท ซึ่งรวมความเสียหายทั้งภาคการเกษตรมูลค่า 43,400 ล้านบาท และด้านทรัพย์สินอีก 3,100 ล้านบาท
ขณะที่รายงานจาก The State of the Climate in Asia ปี 2566 ระบุว่า ระหว่างปี 2513 ถึง 2564 เกิดภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ภูมิอากาศ และน้ำในภูมิภาคเอเซียรวม 3,612 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 984,263 ราย และสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในระดับโลก ภัยแล้งและคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ ในปี 2566 เพียงอย่างเดียว สร้างความสูญเสียมูลค่าถึง 14.5 พันล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐ ขณะที่เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงในสหภาพยุโรประหว่างปี 2564 ถึง 2566 ส่งผลให้เกิดความสูญเสียมากกว่า 162 พันล้านยูโร
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศกำลังปรับโฉมเศรษฐกิจและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ในปัจจุบันกลุ่มธุรกิจต่างเร่งปรับตัวเพื่อให้สามารถเติบโตต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้
อย่างไรก็ตาม จากแบบสำรวจการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนประจำปี 2567 โดยฟูจิตสึ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับ C-level กว่า 600 คนจาก 15 ประเทศใน 11 อุตสาหกรรม เผยให้เห็นความจริงอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่า 70% ของผู้บริหารระบุว่าความยั่งยืนเป็นหนึ่งในความสำคัญอันดับต้นในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่มีเพียง 4 ใน 10 องค์กรเท่านั้น ที่เริ่มนำกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมาปฏิบัติ และในกลุ่มองค์กรที่นำกลยุทธ์ดังกล่าวมาใช้แล้ว กว่า 7 ใน 10 องค์กร ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้
ช่องว่างที่มีนัยนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ธุรกิจต้องเชื่อมโยงระหว่างความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจริง การแก้ไขช่องว่างด้านการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนนี้เป็นหัวข้อสำคัญในงาน Fujitsu ActivateNow Southeast Asia ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นงานประจำปีของฟูจิตสึที่มุ่งเน้นผสานความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ โดยมีผู้นำทางธุรกิจชาวไทยกว่า 150 รายเข้าร่วมงาน เพื่อค้นหาเรื่องราวความสำเร็จขององค์กรชั้นนำที่ใช้เทคโนโลยีในการรับมือความท้าทายทางธุรกิจและสร้างคุณค่า เราจึงขอแบ่งปันข้อคิดสำคัญจากงานในบทความนี้
การปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องที่ “มีก็ดี” แต่เป็นสิ่งที่ “ต้องมี”
ธุรกิจในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้โดยเร็ว เนื่องจากภาครัฐได้เริ่มบังคับใช้นโยบายที่เข้มงวด เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อาจได้รับโทษร้ายแรงและถูกกีดกันจากการค้าระดับโลกและตลาดระหว่างประเทศ
ประเทศไทยกำลังส่งเสริมการนำมาตรการด้านความยั่งยืนมาใช้ในกลุ่มธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
· ยุทธ์ศาสตร์ชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2561-2580 ซึ่งสอดคล้องกับข้อตกลงปารีส โดยได้ระบุแผนของรัฐบาลที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 จากระดับพื้นฐาน และตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593
· นโยบาย 30@30 กำหนดเป้าหมายให้การผลิตยานยนต์ของประเทศไทยร้อยละ 30 เป็นยานยนต์ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซภายในปี 2573
· นอกจากนี้ คู่มือการรายงานความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย (SET) กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการกำกับดูแล (ESG) เป็นประจำทุกปีในแบบฟอร์ม 56-1 One Report
· พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เริ่มมีการกำหนดราคาคาร์บอน การซื้อขายการปล่อยมลพิษ และเครื่องมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ดังกล่าวข้างต้น นับเป็นเพียงตัวอย่างส่วนของบางนโยบายมากมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขความท้าทายด้านความยั่งยืนในประเทศ
ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงผลักดันความพยายามด้านความยั่งยืน
“ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” คือผู้นำด้านนวัตกรรมที่ก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการริเริ่มด้านความยั่งยืน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ฟูจิตสึได้ระบุว่ากลุ่มนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จ ตามผลการสำรวจดัชนีความพร้อมด้านความยั่งยืนในเอเชียแปซิฟิกของ IDC เมื่อสิงหาคม 2566 ความก้าวหน้าในการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน (SX) มักจะล่าช้า เนื่องจากความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร กระบวนการ และเทคโนโลยี องค์ประกอบสำคัญสำหรับการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน ได้แก่ ทรัพยากรทางการเงินที่เพียงพอ กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง ความรับผิดชอบและการกำกับดูแล มาตรวัดความยั่งยืนที่มีคุณภาพสูง และแนวทางปฏิบัติด้านการดำเนินงานที่เหมาะสม
ในงาน Fujitsu ActivateNow Southeast Asia ประจำปี 2567 ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ได้มีการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสู่ด้านความยั่งยืน (SX) คือ การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (DX) ช่วยเร่งการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน (SX) ให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการกำกับดูแล (ESG) จากการสำรวจของ IDC พบว่าการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ 46% ขององค์กรสามารถประมวลผลข้อมูล ESG ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ รวมถึงวัดประสิทธิภาพและผลกระทบของ ESG ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ 43% ได้พัฒนาความสามารถในการระบุและบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ESG ในเชิงรุก และ 41% สามารถทำให้กระบวนการและงานด้าน ESG ปรากฏและโปร่งใสยิ่งขึ้น
ผลสำรวจการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนประจำปี 2024 ของฟูจิตสึ เปิดเผยว่า มีเพียง 11% ขององค์กรที่เข้าร่วมการสำรวจที่สามารถบรรลุความยั่งยืนได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” เหล่านี้มีลักษณะสำคัญร่วมกันสามประการ คือ การแบ่งปันข้อมูลภายในและภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ ความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนที่มีความหมาย และความเข้าใจที่ชัดเจนว่าความยั่งยืนและประสิทธิภาพทางธุรกิจนั้นเป็นประโยชน์ร่วมกัน
ปลดล็อกคุณค่าที่แท้จริงของการปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน
ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่การทำตามข้อกำหนด แต่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจที่สำคัญ แบบสำรวจดัชนีความพร้อมด้านความยั่งยืนในเอเชีย แปซิฟิกของ IDC เมื่อสิงหาคม 2566 ยังได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าสนใจจากแผนการริเริ่มด้านความยั่งยืนที่นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ โดยธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนพบว่า ประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการลดต้นทุนดีขึ้นถึง 50%
นอกจากนี้ 40% พบว่าต้นทุนด้านทุนลดลง ในขณะที่ 39% รายงานว่าความสัมพันธ์กับซัปพลายเออร์ดีขึ้น และชื่อเสียงของแบรนด์ดีขึ้นตามเป้าหมายที่ต้องการ ที่สำคัญคือ 37% ประสบความสำเร็จในการลดความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดจากแนวทางปฏิบัติที่ไม่ยั่งยืน รวมทั้งรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุด การปรับเปลี่ยนสู่ความยั่งยืนจะทำหน้าที่เป็นตัวลดความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจที่สร้างความแตกต่าง และเป็นตัวขับเคลื่อนคุณค่าที่สำคัญในระยะยาวขององค์กร
การผสานกลยุทธ์ความยั่งยืนเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ
การผสานกลยุทธ์ความยั่งยืนเข้ากับแนวทางปฏิบัติของธุรกิจไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นเชิงกลยุทธ์สู่ความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว เพื่อให้สามารถบูรณาการความยั่งยืนเข้าสู่แกนหลักของการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นได้ด้วยการทบทวนวิสัยทัศน์ของบริษัท การบูรณาการหลักการความยั่งยืนเข้ากับวิสัยทัศน์นี้จะช่วยสร้างแนวทางที่เป็นเอกภาพ ทำให้สามารถเผยแพร่ความสำคัญของความยั่งยืนไปยังทุกฟังก์ชันของธุรกิจและเร่งการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิผล
เป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ นับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ควรกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก (KPIs) และระยะเวลาเพื่อติดตามความคืบหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในองค์กรเข้าใจบทบาทของตนในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ความโปร่งใสเหล่านี้ จะช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบและทำให้ทีมงานทำงานสอดคล้องกัน
ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) และบล็อกเชน สามารถเร่งความพยายามด้านความยั่งยืนได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการที่มีความมุ่งมั่นต่อหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการรับมือ ทางภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบที่ปรับเปลี่ยนไปและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น