จากผลสำรวจล่าสุดของ World of Statistics ได้รายงานการจัดอันดับประเทศที่คาดว่าจะมีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงปี 2023-2028 ผ่านทาง X และที่น่าสนใจที่สุด ซึ่งการเติบโตนี้สะท้อนถึงการพัฒนาและขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจของแต่ละประเทศ ต่อไปนี้คือรายชื่อของ 12 ประเทศที่มีการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีในอัตราที่รวดเร็วที่สุด
อันดับ 1 ของโลกคือ ไต้หวัน ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีใหม่สูงถึง 47% และรองลงมาคือ ตุรกี 43% และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีอยู่ที่ 24% นอกจากไทยแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
อันดับที่ 3 คาซัคสถาน : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 37%
อันดับที่ 4 อินโดนีเซีย : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 32%
อันดับที่ 5 ญี่ปุ่น : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 28%
อันดับที่ 6 เกาหลีใต้ : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 27%
อันดับที่ 7 อิสราเอล : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 26%
อันดับที่ 8 เม็กซิโก : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 24%
อันดับที่ 9 ไทย : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 24%
อันดับที่ 10 สวีเดน : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
อันดับที่ 11 อินเดีย : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
อันดับที่ 12 บราซิล : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
สิ่งที่ทำให้คนไทยสามารถร่ำรวยได้คงไม่พ้นการใช้เทคโนโลยี AI ให้เกิดประโยชน์ หากคุณลองตรวจสอบตามโซเชียลมีเดียมักจะพบคอร์สสอน การสร้างงานศิลปะด้วย AI และนำไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเพื่อรับรายได้แบบ passive income ถึงแม้ผู้ผลิตงานศิลปะชาวไทยหลายคนออกมาเรียกร้องและตอบโต้กับการผลิตงานเหล่านี้ด้วย AI แต่ไม่สามารถต้านกระแสของการใช้งานเอไอของคนไทยได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สนใจการสร้างรายได้ที่มั่นคงและถาวร เนื่องจากคนไทยรุ่นใหม่ไม่ชอบการทำงานในออฟฟิศ และอยากเป็นเจ้านายตัวเองกันมากขึ้น
AI หรือปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจความต้องการของตลาด หรือการมองหาไอเดียใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้คนสามารถสร้างรายได้จากโลกออนไลน์ ซึ่งตัว AI จะทำการสำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้คนบนโซเชียลมีเดียและสรุปออกมาเป็นข้อมูลโดยรวม ที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถเข้าถึงลูกค้าหรือรู้ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนหลายๆ คนจึงเลือกที่จะ ตรวจสอบเหรียญ ai บน ReadWrite.com เพื่อการลงทุนเบื้องต้น พร้อมกับมองหารีวิวจากหลายแหล่งเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่การที่จะปล่อยให้ AI ลอยตัวเหนือทุกสิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องที่เสี่ยง เมื่อ Michael Heinrich CEO ของ 0G Labs ได้กล่าวเตือนนักลงทุนทั้งหลายว่า หาก AI ไม่มีบล็อกเชนกำกับมันอาจส่งผลเสียอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น อยู่มาวันหนึ่ง AI ที่กำลังได้รับการพัฒนา เมื่อสั่งสมข้อมูลมากพอก็ประกาศกร้าวว่ามันจะทำลายรัฐบาลและล้มล้างการปกครอง ซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มันได้ตรวจสอบการทุจริตและการทำงานที่ไม่โปร่งใส ดังนั้นแล้วอาจมีความเสี่ยงต่อภัยความมั่นคงอย่างมากในอนาคตก็เป็นได้
ดังนั้น การใช้เทคโนโลยี AI เข้าร่วมกับบล็อกเชนจึงเป็นทางออกที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ดีที่สุดในการควบคุม AI ไม่ให้มีความคิดของตัวเองมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ นอกจากการตัดสินใจจะไม่ผูกติดอยู่กับผู้ใดผู้หนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งแล้ว มันยังมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเชนอย่างแม่นยำและไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้อีกด้วย
สิ่งที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่าคนไทยจะใช้เทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ คือการปรากฏตัวของคอนเทนต์ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มโด่งดังอย่าง Tiktok รวมไปถึงจำนวนของผู้ใช้งาน จำนวนแอ็กเคานต์ที่เพิ่มอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปีหลังจากเปิดตัวแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถสร้างรายได้จากการทำคอนเทนต์ที่มีผู้ชมและผู้แชร์เป็นจำนวนมากได้ ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้จะถูกอัลกอลิทึมของเอไอไปจับกับความต้องการของผู้ใช้งานรายบุคคล ซึ่งนี่ก็เป็นการใช้งานปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างรายได้ทางอ้อมด้วยเช่นกัน
และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทย อาจมีเศรษฐีกำเนิดขึ้นกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศตามรายงานของ World of Statistics ก็เป็นได้
อันดับ 1 ของโลกคือ ไต้หวัน ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีใหม่สูงถึง 47% และรองลงมาคือ ตุรกี 43% และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐีอยู่ที่ 24% นอกจากไทยแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
อันดับที่ 3 คาซัคสถาน : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 37%
อันดับที่ 4 อินโดนีเซีย : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 32%
อันดับที่ 5 ญี่ปุ่น : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 28%
อันดับที่ 6 เกาหลีใต้ : อัตราการเพิ่มขึ้นของเศรษฐี 27%
อันดับที่ 7 อิสราเอล : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 26%
อันดับที่ 8 เม็กซิโก : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 24%
อันดับที่ 9 ไทย : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 24%
อันดับที่ 10 สวีเดน : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
อันดับที่ 11 อินเดีย : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
อันดับที่ 12 บราซิล : มีอัตราการเติบโตของจำนวนเศรษฐี 22%
สิ่งที่ทำให้คนไทยสามารถร่ำรวยได้คงไม่พ้นการใช้เทคโนโลยี AI ให้เกิดประโยชน์ หากคุณลองตรวจสอบตามโซเชียลมีเดียมักจะพบคอร์สสอน การสร้างงานศิลปะด้วย AI และนำไปจำหน่ายบนแพลตฟอร์มเพื่อรับรายได้แบบ passive income ถึงแม้ผู้ผลิตงานศิลปะชาวไทยหลายคนออกมาเรียกร้องและตอบโต้กับการผลิตงานเหล่านี้ด้วย AI แต่ไม่สามารถต้านกระแสของการใช้งานเอไอของคนไทยได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สนใจการสร้างรายได้ที่มั่นคงและถาวร เนื่องจากคนไทยรุ่นใหม่ไม่ชอบการทำงานในออฟฟิศ และอยากเป็นเจ้านายตัวเองกันมากขึ้น
AI หรือปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจและการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจความต้องการของตลาด หรือการมองหาไอเดียใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้คนสามารถสร้างรายได้จากโลกออนไลน์ ซึ่งตัว AI จะทำการสำรวจความคิดเห็นและความต้องการของผู้คนบนโซเชียลมีเดียและสรุปออกมาเป็นข้อมูลโดยรวม ที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถเข้าถึงลูกค้าหรือรู้ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนหลายๆ คนจึงเลือกที่จะ ตรวจสอบเหรียญ ai บน ReadWrite.com เพื่อการลงทุนเบื้องต้น พร้อมกับมองหารีวิวจากหลายแหล่งเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่การที่จะปล่อยให้ AI ลอยตัวเหนือทุกสิ่งนั้นอาจเป็นเรื่องที่เสี่ยง เมื่อ Michael Heinrich CEO ของ 0G Labs ได้กล่าวเตือนนักลงทุนทั้งหลายว่า หาก AI ไม่มีบล็อกเชนกำกับมันอาจส่งผลเสียอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น อยู่มาวันหนึ่ง AI ที่กำลังได้รับการพัฒนา เมื่อสั่งสมข้อมูลมากพอก็ประกาศกร้าวว่ามันจะทำลายรัฐบาลและล้มล้างการปกครอง ซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มันได้ตรวจสอบการทุจริตและการทำงานที่ไม่โปร่งใส ดังนั้นแล้วอาจมีความเสี่ยงต่อภัยความมั่นคงอย่างมากในอนาคตก็เป็นได้
ดังนั้น การใช้เทคโนโลยี AI เข้าร่วมกับบล็อกเชนจึงเป็นทางออกที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ดีที่สุดในการควบคุม AI ไม่ให้มีความคิดของตัวเองมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ นอกจากการตัดสินใจจะไม่ผูกติดอยู่กับผู้ใดผู้หนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งแล้ว มันยังมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเชนอย่างแม่นยำและไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้อีกด้วย
สิ่งที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่าคนไทยจะใช้เทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างรายได้ คือการปรากฏตัวของคอนเทนต์ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มโด่งดังอย่าง Tiktok รวมไปถึงจำนวนของผู้ใช้งาน จำนวนแอ็กเคานต์ที่เพิ่มอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปีหลังจากเปิดตัวแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถสร้างรายได้จากการทำคอนเทนต์ที่มีผู้ชมและผู้แชร์เป็นจำนวนมากได้ ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้จะถูกอัลกอลิทึมของเอไอไปจับกับความต้องการของผู้ใช้งานรายบุคคล ซึ่งนี่ก็เป็นการใช้งานปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างรายได้ทางอ้อมด้วยเช่นกัน
และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทย อาจมีเศรษฐีกำเนิดขึ้นกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศตามรายงานของ World of Statistics ก็เป็นได้