แมเนจเอนจิ้น (ManageEngine) ประเมินตลาด AI ไทยมูลค่าทะลุ 950 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28% ต่อปี สะท้อนชัดอุตสาหกรรมไอทีระดับองค์กรในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งบน 3 ปัจจัย มั่นใจแม้จะมี 3 ความท้าทายหลัก แต่ AI สำหรับองค์กรจะเกิดการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง 2-3 ปีข้างหน้า กระตุ้นบริษัทไทยใช้โซลูชันไอทีขั้นสูงยกระดับการดำเนินงาน
นายอรุณ กุมาร์ (Arun Kumar) ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค ประจำเอเชียแปซิฟิก จากแมเนจเอนจิ้น ประเมินภาพรวมตลาดปัญญาประดิษฐ์แบบเจเนอเรทีฟเอไอ (Generative AI) และโอกาสในการลงทุนนำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจไทยช่วงปีนี้และปีหน้า ว่า ตลาดไอทีระดับองค์กรในประเทศไทยกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการพลิกโฉมธุรกิจด้วยดิจิทัล หรือ Digital Transformation รวมถึงการนำระบบคลาวด์มาใช้และความต้องการมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทในหลายภาคส่วนต่างหันมาใช้โซลูชันไอทีขั้นสูงมากขึ้นเพื่อยกระดับการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน
"ตลาด AI ในประเทศไทยปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 950 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตรา 28% ต่อปี นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้พัฒนายุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนมากกว่า 45 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างแชตบอตและ LLM (Large Language Model) ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ การท่องเที่ยว และการดูแลสุขภาพ ซึ่งกลยุทธ์นี้ของรัฐบาลไทยเป็นวิสัยทัศน์เชิงบวกที่บริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีทั่วโลกกำลังจับตา รวมถึง ManageEngine เองด้วย"
ManageEngine นั้นเป็นบริษัทที่วางจุดยืนมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการผสานรวม AI เพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ เช่น การตรวจจับความผิดปกติในระบบไอที และการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ โดยมุ่งสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ด้านการบริหารจัดการไอทีที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทคือการให้บริการ small language model (SLM), medium language model (MLM) และ large language model (LLM) รวมถึงการทำนายเหตุการณ์ การทำเรื่อง capacity planning และการระบุมัลแวร์ที่อาจเกิดขึ้นแก่องค์กรที่ต้องการ
สำหรับประเทศไทย อรุณมองว่า 1 ใน 3 ส่วนโซลูชันที่ธุรกิจไทยให้ความสำคัญในช่วงที่ผ่านมาคือการพลิกโฉมธุรกิจด้วยดิจิทัล (DX) โดยมองว่าธุรกิจในไทยเปิดรับการพลิกโฉมธุรกิจด้วยดิจิทัลอย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มผลผลิต เทคโนโลยีต่างๆ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตออฟธิง (IoT) และระบบวิเคราะห์บิ๊กดาต้า
"อย่างไรก็ตาม Digital Transformation นี้ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วจบลง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์กรใช้กรอบความคิดนี้ จะสามารถก้าวทันตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้"
อีกเทคโนโลยีคือคลาวด์คอมพิวติ้ง หรือการประมวลผลแบบคลาวด์ที่หลายบริษัทได้ย้ายการดำเนินงานไปยังแพลตฟอร์มบนคลาวด์มากขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถในการปรับเปลี่ยนขนาด ความยืดหยุ่น และการประหยัดต้นทุน
"การให้บริการคลาวด์สาธารณะและส่วนตัวยังเป็นที่ต้องการสูง โดย Software as a Service (SaaS), Infrastructure as a Service (IaaS) และ Platform as a Service (PaaS) มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง กลุ่มธุรกิจต่างใช้ประโยชน์จากโซลูชันคลาวด์ดังกล่าวเพื่อจัดการกับทุกสิ่งตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูล การโฮสต์แอปพลิเคชันไปจนถึงการกู้คืนระบบ"
นอกจากนี้ คือเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผลจากกิจกรรมทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับองค์กรไทย โดยแม้กลุ่มธุรกิจกำลังลงทุนมหาศาลในโซลูชันเพื่อปกป้องข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ แต่การละเมิดความปลอดภัยจำนวนมากยังคงเกิดขึ้นเนื่องจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการให้ความรู้แก่พนักงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง
ในส่วนของ Generative AI แม้ธุรกิจไทยจะใช้ประโยชน์จาก generative AI เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นส่วนตัวและมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงแชตบอต ผู้ช่วยเสมือน และการสร้างคอนเทนต์ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีดังกล่าวยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายด้านกฎระเบียบและข้อบังคับที่ควบคุมเทคโนโลยีนี้ยังคงมีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
"มาตรฐานกำกับดูแล GRC ในปัจจุบันยังคงไม่มีความชัดเจน เนื่องจากลักษณะการพัฒนาของโมเดล GenAI ยังคงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง องค์กรควรใช้ Generative AI ด้วยวิจารณญาณและความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดและข้อกังวลด้านจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้น ควรใช้นโยบายเพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิดและการละเมิด และควรมีการตรวจสอบโดยมนุษย์จริงเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ของโมเดล Generative AI ก่อนที่จะเผยแพร่หรือใช้ โดยหลีกเลี่ยงการใช้ Generative AI เพื่อการตัดสินใจที่สำคัญ"
ในภาพรวม 3 ปัจจัยที่หนุนให้อุตสาหกรรมไอทีระดับองค์กรในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คือ กระบวนการเก็บข้อมูลที่มีต้นทุนประหยัดและง่ายขึ้น พลังคอมพิวติ้งที่เติบโตไม่มีที่สิ้นสุดบนคลาวด์ และรูปแบบรายได้จากข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในปัจจุบันและศักยภาพในอนาคตจากการที่ AI ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายสะท้อนว่า AI ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา และทศวรรษหน้ายังถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับ AI ที่จะเติบโตและอาจกลายเป็นเทคโนโลยีหลักในองค์กร
ManageEngine มองว่าปัจจุบัน องค์กรหลายแห่งเผชิญกับความท้าทายในการปรับขนาดโซลูชัน AI และผสานรวมเข้ากับระบบที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้การรับรู้ถึงผลกระทบของ AI ในสถานการณ์ดังกล่าวช้าลง นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ Data Privacy และ Security เนื่องจากองค์กรมีการบริหารจัดการกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และการนำ AI ไปใช้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจและรองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ที่สำคัญ ไทยยังขาดแคลนผู้ที่มีความสามารถและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ทำให้องค์กรจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาและการฝึกอบรมผู้มีความสามารถเพื่อควบคุมพลังของ AI ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแม้จะเกิดความท้าทายอยู่บ้าง แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจทำให้ AI สำหรับองค์กรเกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนโมเดล AI ที่ดีขึ้น การทำงานแบบอัตโนมัติที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และองค์กรที่ใช้ประโยชน์จาก AI อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันยิ่งขึ้น
"การลงทุนใน AI ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 110 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 190 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 การลงทุนครั้งนี้ได้นำไปสู่การเพิ่ม productivity อย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทที่นำ AI มาใช้ในกระบวนการวิจัยและพัฒนา (R&D) มีรายงานพบว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 40% และล่าสุด McKinsey ได้ทำการสำรวจทั่วโลกเกี่ยวกับ AI พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 65% รายงานว่าองค์กรของตนใช้ Gen AI เป็นประจำ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเพียงสิบเดือนที่ผ่านมา การนำ AI มาใช้ที่เพิ่มขึ้นนี้ยังเห็นได้จากจำนวนแอปพลิเคชันและบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย"
ManageEngine ทิ้งท้ายว่าบริษัทมีแผนเปิดตัวบริการ Application Discovery and Dependency Mapping (ADDM) หลังจากได้เปิดตัวบริการด้านการรักษาความปลอดภัย SIEM, Unified End Point Management and Security (UEMS) ร่วมกับบริการด้าน AI ที่คาดว่าจะสามารถชิงเค้กในตลาดมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีนี้