สรุปปมการตกต่ำอย่างมีนัยสำคัญของหุ้นเทคโนโลยี ทั้ง Amazon, Apple, Alphabet, Microsoft และ Nvidia ปรากฏว่า Meta สถานการณ์ดีสุดในกลุ่ม ขณะที่ Intel ร่วงหงอยจนเผชิญกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดในรอบ 50 ปี
ปัญหาคาราคาซังของแต่ละค่ายส่งให้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก โดยเฉพาะตลาดแนสแดคที่หดตัว 3.4% ในสัปดาห์เดียว ทำสถิติลดลง 8.8% ใน 3 สัปดาห์ เรียกว่าเป็นภาวะที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022
ส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตนี้ในช่วงเวลาจบเดือน 7 คือความผิดหวังจากการประกาศรายได้ โดยในช่วงกรกฎาคมของทุกปี ถือเป็นฤดูกาลของการประกาศผลประกอบการ ซึ่งในปีนี้ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งรายงานว่าการเติบโตอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ โดยบางแห่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วย
***ใครมีปมอะไร?
เริ่มที่ Amazon รายได้ที่ต่ำกว่าที่คาดไว้และพยากรณ์รายได้ที่น่าผิดหวัง ทำให้ Amazon ต้องเจ็บกับภาวะหุ้นร่วง 8.8% ในวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2024 ลดลงต่อเนื่องจนทำสถิติหดตัว 14% ในช่วง 3 สัปดาห์
ฝั่ง Apple นั้นรายได้เติบโตเพียง 5% ซึ่งแม้มูลค่าหุ้นจะปิดสูงขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์และตลอดสัปดาห์ แต่ถือว่าลดลงมากกว่า 5% ใน 2 สัปดาห์ก่อนหน้า
ด้าน Microsoft นั้นออกพยากรณ์อ่อนแอกว่าที่คาดไว้และการเติบโตของคลาวด์ Azure ต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้หุ้นร่วง 4% ในสัปดาห์นี้ ลดลง 10% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วน Alphabet รายได้จากการโฆษณาบน YouTube ต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยตัวเลขการเติบโตของโฆษณาโดยรวมคือ 11% เท่านั้น ความรู้สึกน่าผิดหวังทำให้มูลค่าหุ้นลดลงเล็กน้อย แต่ไม่อาจลบภาพรวมมูลค่าหุ้นที่ลดลง 10% ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ไม่เว้นแม้แต่ Nvidia มูลค่าหุ้นของเจ้าพ่อหน่วยประมวลผล GPU เพิ่มขึ้น 110% ในรอบปีก็จริง แต่ในวิกฤติแนสแดคแตก มูลค่าหุ้นลดลง 17% ในช่วง 3 สัปดาห์
หันมามอง Intel ยักษ์ใหญ่วงการชิปเซมิคอนดักเตอร์ประสบกับวันที่แย่ที่สุดในรอบ 50 ปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมูลค่าหุ้นร่วงลง 26% ทำให้มูลค่าหุ้นอยู่ที่ระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ปี 2013 โดยล่าสุดอินเทลได้ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 15%
แต่ Meta กลับมีผลงานดีที่สุดในกลุ่ม โดยหุ้นเพิ่มขึ้นหลังจากผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้ ส่งให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังประกาศว่ามีการเติบโตของรายได้จากโฆษณา 22%
ที่สุดแล้ว การหดตัวของดัชนี Nasdaq Composite ที่ลดลง 8.8% ใน 3 สัปดาห์นั้นถือว่าเพิ่มขึ้น 12% นับตั้งแต่ต้นปี สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถสะท้อนว่าผลงานของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้คือตัวบ่งชี้สุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม โดยมีอิทธิพลมากขึ้นเนื่องมาจากขนาดของบริษัท
ในอีกด้าน การหดตัวของดัชนีแนสแดคยังย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของหลายบริษัท นอกจากนี้ ยังแสดงถึงภาวะการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค เห็นได้ชัดเมื่อ Amazon ตั้งข้อสังเกตว่าผู้บริโภคระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่ายและหันไปซื้อตัวเลือกที่ถูกกว่า
สรุปปมหุ้นเทค 7 นางฟ้าจึงไม่ได้อยู่ที่ความอ่อนแอ แต่เป็นผลที่เชื่อมโยงระหว่างผลงานของบริษัทในภาคเทคโนโลยี กับสภาพเศรษฐกิจโลก และความท้าทายในการรักษาการเติบโตของบริษัทขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งมานาน ในยุคที่ระบบเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลง