ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งรับฟ้องคดี 'ไตรรัตน์' ฟ้อง 4 กสทช.กับพวกผิด ม.157 ปมซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายบอลโลก-เปลี่ยนรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.โดยมิชอบ
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.67 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งประทับรับฟ้อง คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 155/2566 ที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการ กสทช.กับพวกรวม 5 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ เป็นจำเลย
ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 โดยกล่าวหาโจทก์เกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 รอบสุดท้าย ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย และดำเนินการให้มีการเปลี่ยนรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์โดยมิชอบ
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ศาลได้อ่านคำสั่งให้คู่ความฟัง เจ้าหน้าที่ได้ส่งคำร้องของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยอำนาจในการพิจารณาคดีที่โจทก์ฟ้องว่า คดีนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง แต่อยู่ในอำนาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา รายละเอียดปรากฏตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ลงวันที่ 30 พ.ค.67
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอำนาจพิจารณาคดีพิพากษาว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง แต่ว่าอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกรณีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางต้องส่งสำนวนพร้อมคำร้อง ให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน
กระบวนการพิจารณาคดีที่จะมีต่อไปต้องรอคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ลงมาก่อนจึงจะดำเนินการต่อไป หรือต้องส่งถ้อยคำสำนวนให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษา ในกรณีที่ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดังนั้น ในชั้นนี้ให้ส่งคำร้องของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 พร้อมถ้อยคำสำนวนให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยเร็ว และให้ยกเลิกนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การจำเลย โดยกำหนดวันนัดพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 25 ก.ค.67 โดยแจ้งให้คู่ความทราบ และศาลมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับการให้หยุดปฎิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่จับตาว่าการประชุม กสทช. ครั้งถัดไปในวันที่ 7 มิ.ย.67 จะมีการบรรจุเรื่องดังกล่าวเป็นวาระเข้าที่ประชุมให้ 4 กรรมการ กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ มีกรณีที่กลุ่มทรูขอให้ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทรูทั้งหมด โดยอ้างว่าเพื่อความเป็นกลาง และกระบวนการพิจารณาคดีอยู่ในชั้นศาล
หลังจากที่ทรูได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง กรณีที่สำนักงาน กสทช. ออกหนังสือถึงผู้ประกอบการโทรทัศน์ กรณีการให้บริการของ True ID ซึ่งถัดมาศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำสั่งยกคำร้อง และที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 27 พ.ค.67 มีมติ 3 ต่อ 4 เสียง ให้ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น หากเรื่องดังกล่าวถูกบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุม กสทช. และมีการโหวต เสียงข้างมาก 4 เสียงที่เป็นจำเลย ก็จะเป็นเสียงข้างมากที่จะโหวตให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด