SteelSeries แบรนด์อุปกรณ์เสริมสำหรับเกมเมอร์ เดินเครื่องเจาะตลาดไทยเต็มตัว ด้วยการยกระดับกลยุทธ์การทำตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ รับการกลับมาของอุตสาหกรรมเกมที่คาดว่าจะเติบโตในปีนี้
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยการตลาดเกม Newzoo คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดเกมทั่วโลกจะเริ่มกลับเติบโตอีกครั้งในปี 2024 โดยมีมูลค่าที่ 189 พันล้านเหรียญ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 197 พันล้านเหรียญ ในปี 2025 และ 205 พันล้านเหรียญ ในปี 2026
นอกจากนี้ ยังพบว่า 8 ใน 10 ของประชากรออนไลน์จะให้ความสนใจและมีส่วนร่วมกับเกม แสดงให้เห็นว่า เกมมีความสำคัญในชีวิตประจำวัน และยังพบอีกว่าประมาณ 50% ของเกมเมอร์จะเล่นเกมมากกว่า 1 แพลตฟอร์ม และ 15% เล่นครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ โมบาย เครื่องเกมคอนโซล และคอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน SteelSeries มีส่วนแบ่งในตลาดหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มหูฟังไร้สาย มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ใน 3 กลุ่มราคา ได้แก่ 200-299 เหรียญสหรัฐ กลุ่มราคามากกว่า 300 เหรียญสหรัฐ และกลุ่มราคา 150-199 เหรียญสหรัฐ ส่วนในกลุ่มหูฟังทั่วไปมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 ในตลาดคีย์บอร์ด และเมาส์
เทรนด์ของการเล่นเกมในปัจจุบันแข่งกันที่ความเร็ว โดยเฉพาะเกมแนว FPS เมื่อเมาส์ คีย์บอร์ดและมอนิเตอร์ เป็นอุปกรณ์พื้นฐาน แต่สิ่งที่จะเพิ่มความได้เปรียบให้ผู้เล่นคือ หูฟัง การได้ยินที่มีมิติ มีคุณภาพ การได้ยินเสียงก่อนและแยกทิศทาง ซ้ายขวา หน้าหลัง หรือบนล่างได้ก่อน และมือจึงขยับตามไป คือตัวตัดสินการแพ้ชนะ
ส่งผลให้เกมเมอร์ทั่วโลกพร้อมลงทุนกับอุปกรณ์ Headset เป็นอันดับ 1 โดยใช้งบสูงขึ้นเฉลี่ย 8,000-15,000 บาทเพื่อให้ได้หูฟังที่ดีที่สุด ขณะที่อุปกรณ์อื่นๆ เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด อาจใช้งบประมาณลดลงเหลือเพียง 3,000-4,000 บาทเท่านั้น
สำหรับในปีนี้ SteelSeries เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Headset เริ่มต้นที่ Arctis Nova 5 Wireless Headset ผลิตภัณฑ์หูฟังเกม เน้นกลุ่มระดับกลาง ในราคา 3,500-5,500 บาท มาช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่เกมเมอร์
เนื่องจากก่อนหน้านี้ SteelSeries ได้ทำตลาด Arctis Nova 7 Wireless Headset ในกลุ่ม Premium ระดับราคา 5,500-9,990 บาท และ Arctis Nova Pro Wireless Headset + Infinity Power System ที่เป็นกลุ่มพรีเมียมระดับราคา 10,000 บาท
