xs
xsm
sm
md
lg

Microsoft ปะทะ Google ระเบิดศึกประชันฟีเจอร์ AI (Cyber Weekend)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ต้องจดลงบันทึกตัวโตๆ ว่าสัปดาห์กลางเดือนพฤษภาคม 2024 คือช่วงเวลาที่เจ้าพ่อวงการไอทีอย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) และกูเกิล (Google) ลุยแข่งขันฟาดฟันกันประกาศความเก่งของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตัวเองลงมือผสมเข้ากับระบบไฮเทคในชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งคอมพิวเตอร์พีซีส่วนบุคคล และการเสิร์ชหรือการค้นหาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปโดย Generative AI

ฝั่งกูเกิลนั้นออกหมัดแรงในวันที่ 15 พฤษภาคม ด้วยการอัปเดตความสามารถของ Generative AI ครั้งใหญ่ในรอบปีบนเวทีงานประชุมนักพัฒนา Google I/O 2024 ที่มีการนำเสนอชุดเครื่องมือ AI ที่น่าสนใจทั้งการเป็นผู้ช่วย AI ที่โต้ตอบด้วยเสียง ไปจนถึงสร้างวิดีโอความละเอียดสูงเพื่อนำไปใช้งานใน Google Veo จนกระทั่ง 6 วันต่อมา ไมโครซอฟท์ประกาศในวันที่ 21 พฤษภาคม ถึงการนำ AI Copilot เข้าไปผสมผสานกับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยบอกว่านัยของความเคลื่อนไหวนี้คือการเป็นจุดเริ่มต้นของพีซีแห่งอนาคต และบริษัทจะร่วมมือกับ Qualcomm นำชิป Snapdragon X ซีรีส์ มาใช้งานบน Surface และแล็ปท็อปจากพันธมิตร Acer ASUS Dell HP Lenovo และ Samsung ด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าทั้งไมโครซอฟท์และกูเกิลต่างกำลังบูรณาการ AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลักโดยทั้งคู่ต่างเดินหน้าฝัง AI ไว้ในผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทตัวเองอย่างลึกซึ้ง แสดงให้เห็นว่าชาวโลกกำลังจะได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในการทำให้ AI เป็นคุณสมบัติหลักของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ส่วนเสริมอีกต่อไป

***กูเกิลปรับใหญ่-ยังอยู่ในช่วงเริ่ม

ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอกูเกิล กล่าวว่า กูเกิลได้ลงทุนใน AI มานานกว่า 10 ปี และได้สร้างสรรค์นวัตกรรมในทุกด้านทั้งงานวิจัย ผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และทุกวันนี้กูเกิลยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุค AI

ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอกูเกิล ในงาน Google I/O 2024
กูเกิลย้ำว่าได้นำเจมิไน (Gemini) เข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทั้งใน Google Search Google Photos Google Workspace และ Android จนทำให้มีผู้ใช้งานรวมกันแล้วกว่า 2 พันล้านคน โดยภายในงาน Google I/O 2024 กูเกิล ได้ประกาศ 8 ความคืบหน้าครั้งใหญ่ในการนำ Gemini และบรรดาโมเดลภาษาต่างๆ ไปใช้งานร่วมกับบริการหลักของ Google เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เริ่มด้วย 1.Google Veo และ Imagen 3 เครื่องมือช่วยสร้างภาพ และวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 1080p จากการป้อนคำสั่งเข้าไปที่จะช่วยเปิดโลกของครีเอเตอร์ให้มีความคิดสร้างสรรค์ในการส้างวิดีโอคอนเทนต์มากขึ้น

2.Project Astra ผู้ช่วย AI ที่สามารถทำความเข้าใจข้อมูลหลายรูปแบบ และสนทนากับผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ คล้ายๆ กับผู้ช่วยส่วนตัว Jarvis ในภาพยนตร์ Ironman ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และคาดว่าจะเริ่มเห็นนำไปใช้งานในช่วงปลายปีนี้ 3.อัปเดต Gemini 1.5 Pro ช่วยให้ผู้ใช้งาน Generative AI สามารถป้อนข้อมูลเข้าไปเพื่อให้ Gemini ศึกษาข้อมูลได้มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจข้อความ รูปภาพ ไฟล์เอกสารต่างๆ และช่วยให้สรุปข้อมูลออกมาได้แม่นยำมากขึ้น

4.Gemini 1.5 Flash โมเดลภาษาขนาดเล็กที่สามารถรองรับข้อมูลจำนวนมาก เหมาะกับการนำไปประมวลผลข้อมูลที่ต้องการความเร็วในการใช้งาน ที่จะเริ่มเปิดให้ใช้งานใน AI Studio และ Vertex AI สำหรับนักพัฒนาเพื่อนำไปใช้งานต่อไป 5.AI Overview ใน Google Search ทำให้การค้นหาข้อมูลบนเสิร์ชทำได้ง่ายขึ้น เพียงถามคำถามเข้าไปในช่องกรอกข้อมูล Gemini จะช่วยสร้างประสบการณ์ค้นหาข้อมูลรูปแบบใหม่ออกมาตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเริ่มให้บริการในสหรัฐฯ ก่อนขยายไปยังประเทศอื่นๆ เร็วๆ นี้



6.Ask Photos ขยายความสามารถของ Google Photos ให้รองรับการค้นหาข้อมูลได้หลากหลายมากขึ้น เช่น การค้นหาทะเบียนรถจากคลังข้อมูลรูปแบบ หรือแม้แต่ให้รวบรวมเหตุการณ์ในความทรงจำออกมาเป็นอัลบั้มภาพ 7.Workspace รองรับ Gemini 1.5 Pro อีกความน่าสนใจคือการใช้งานเครื่องมือของ Workspace ที่ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Gemini ระบุอีเมลที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ไฟล์แนบ เพื่อสรุปประเด็นสำคัญ ไปจนถึงขอให้ Gemini สรุปการประชุมจากวิดีโอที่บันทึกใน Google Meet

และ 8.Gemini บน Android ที่ฉลาดขึ้น ด้วยการนำ Gemini Nano เข้าไปช่วยให้เข้าใจภาพ เสียง และข้อความ ทำให้ผู้ใช้งานแอนดรอยด์สามารถใช้การวงกลมเพื่อค้นหา (Circle to Search) ได้ครอบคลุมมากขึ้น อย่างโจทย์คณิตศาสตร์ เข้าใจกราฟ แผนภูมิต่างๆ หรือแม้แต่การป้องกันโทรศัพท์จากมิจฉาชีพ เมื่อพบว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นมีโอกาสหลอกลวง คาดว่าจะรองรับภาษาอังกฤษก่อน และจะเปิดให้ใช้งานในอนาคต



***ไมโครซอฟท์ถึงจุดเปลี่ยน-ขยายข้อจำกัด

สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์ กล่าวว่าบริษัทมาถึงจุดเปลี่ยนที่พีซีจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI และเชื่อว่าประสบการณ์ AI ที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งระบบคลาวด์และดีไวซ์ทำงานผสานกับเป็นหนึ่งเดียว โดยมั่นใจว่านักพัฒนาทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้

ไมโครซอฟท์เคลมว่า Copilot+ PC จะเป็นเครื่องพีซี Windows ที่เร็วที่สุด ชาญฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยชิปรุ่นใหม่ Snapdragon X Series และ Snapdragon X Plus โดยจะมอบความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้พลังงานด้วยระดับประสิทธิภาพเฉลี่ยต่อวัตต์ที่เหนือกว่า จากชิป Qualcomm Oryon CPU ที่ติดตั้งมาในตัว ชิปในตระกูล Snapdragon X มอบประสิทธิภาพระดับ 45 TOPS จากชิป NPU ที่ติดตั้งมาในตัวแบบออลอินวัน “Copilot+ PC จะช่วยให้ทุกคนทำสิ่งที่ไม่สามารถทำได้บนพีซีเครื่องอื่น”

สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์
ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาและจดจำทุกสิ่งที่ผู้ใช้เคยเห็นบนเครื่อง ด้วย “Recall” สร้างและปรับแต่งรูปภาพ AI แบบเรียลไทม์ได้โดยตรงบนอุปกรณ์โดยใช้ “Cocreator” และก้าวข้ามข้อจำกัดด้านภาษาด้วย “Live Captions” ที่สามารถแปลเสียงกว่า 40 ภาษาเป็นภาษาอังกฤษได้ทันที ที่สำคัญคือความสามารถใหม่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นบนดีไวซ์รุ่นใหม่ที่บาง เบา และสวยสะดุดตาทั้งจากตระกูล Surface ของไมโครซอฟท์ และพันธมิตร OEM อย่าง Acer, ASUS, Dell, HP, Lenovo และ Samsung ที่จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายนในราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 36,000 บาท

ไฮไลต์สำคัญของพีซีที่ใช้งานชิปใหม่นี้จะมอบประสิทธิภาพที่สูงกว่า MacBook Air รุ่น 15 นิ้วถึง 58%ในการใช้งานแอปพลิเคชันแบบหลายเธรดอย่างต่อเนื่องโดยที่แบตเตอรี่ยังพร้อมรองรับการใช้งานได้นานตลอดทั้งวัน ขณะเดียวกัน ยังสามารถเล่นวิดีโอจากในเครื่องได้ต่อเนื่องนานถึง 22 ชั่วโมง และเปิดดูเว็บไซต์ต่างๆ ได้ต่อเนื่องถึง 15 ชั่วโมง ทำได้นานกว่า MacBook Air รุ่น 15” ถึง 20%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวชิปจะทำงานบนสถาปัตยกรรม Arm64 แต่โปรแกรม และแอปพลิเคชันชั้นนำจะรองรับการทำงานแบบเนทีฟ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft 365 รวมถึง Chrome, Spotify, Zoom, WhatsApp, Blender, Affinity Suite, DaVinci Resolve และอื่นๆ อีกมากโดยยังมีแอปอื่นๆ เช่น Slack ที่จะออกมาเพิ่มเติมอีกในปีนี้



ที่สุดแล้ว การปรับปรุง AI ของกูเกิลสามารถมองได้ว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาคุณภาพผลการค้นหาที่ลดลง ขณะเดียวกัน การที่ไมโครซอฟท์อ้างว่า PC พลัง AI ของบริษัทจะเร็วกว่ารุ่นในปัจจุบัน ก็เป็นการเน้นย้ำว่าการรวม AI สามารถเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้จริง แปลว่าทั้งคู่กำลังปะทะกันด้วยการมุ่งใช้ AI ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น