การ์ทเนอร์แนะ CIO ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญเพื่อส่งมอบและขยายขีดความสามารถข้าราชการ เปิด 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญของภาครัฐในปี 2567
ท็อดด์ คิมเบรียล รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ความวุ่นวายทั่วโลกทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดต่อเนื่อง และการนำ AI มาใช้งานล้วนกำลังเพิ่มความกดดันให้ภาครัฐในการตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนที่ต้องการบริการที่มีความรวดเร็วและสร้างสรรค์กว่าเดิม โดยผู้บริหาร CIO ของรัฐบาลควรพิจารณาผลกระทบของแนวโน้มเทคโนโลยีต่างๆ ต่อไปนี้ที่มีต่อองค์กรของตน และปรับใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างเคสการลงทุนในการเพิ่มความสามารถต่างๆ ทางธุรกิจ พร้อมบรรลุเป้าหมายการจัดลำดับความสำคัญของความเป็นผู้นำ และสร้างองค์กรภาครัฐที่พร้อมสำหรับอนาคต
"ผู้บริหาร CIO ของภาครัฐฯ ต้องหาวิธีการใหม่ๆ ที่สอดรับกับความต้องการดังกล่าวด้วยบริการที่ทันสมัย เข้าถึงง่ายและยืดหยุ่น โดยเน้นไปที่เทคโนโลยีที่ยั่งยืนและปรับขนาดได้”
การ์ทเนอร์มองว่า 1 ใน 5 แนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญต่อกิจการภาครัฐในปี 2567 เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้นำองค์กรภาคสาธารณะในการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้นและให้ความคุ้มค่ายิ่งขึ้น คือ Adaptive Security หรือความปลอดภัยปรับเปลี่ยนได้ โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2571 Multiagent AI หรือ AI ที่สามารถเข้าใจและทำงานกับข้อมูลหลายประเภทที่ใช้เพื่อตรวจจับและรับมือต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามจะถูกนำมาใช้เพิ่มจาก 5% เป็น 70% โดยไม่ได้นำมาแทนที่พนักงานที่เป็นมนุษย์
การ์ทเนอร์อธิบายว่า AI กำลังสร้างการปรับเปลี่ยนและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ขึ้นใหม่ ด้วยการนำเสนอโอกาสใหม่ๆ แก่ CIO ขององค์กรภาครัฐ และโมเดล Adaptive Security จะทำงานผสานพร้อมปรับเปลี่ยนเครื่องมือ เทคนิค รวมถึงกำหนดผู้มีทักษะความสามารถด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เหมาะสมกับภูมิทัศน์ภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง
“ผู้บริหาร CIO และผู้นำภาครัฐต้องเอาชนะการต่อต้านการนำ Adaptive Security มาใช้ที่ยืดเยื้อ โดยเชื่อมโยงคุณค่าเทคโนโลยีนี้เข้ากับวัตถุประสงค์องค์กรในมิติที่กว้างขึ้น เช่น นวัตกรรมดิจิทัลและการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ภารกิจด้านความมั่นคงของชาติ และการสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน” คิมเบรียลกล่าวเพิ่ม
เทคโนโลยีที่ 2 คือ Digital Identity Ecosystems หรืออัตลักษณ์ดิจิทัลในภาครัฐกำลังขยายไปสู่ระบบนิเวศที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงการตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้ การระบุตัวตนของพลเมืองหรือองค์กร และการตรวจสอบข้อมูลรับรอง หรือ Credential Verification เช่น วอลเล็ตแบบระบุอัตลักษณ์บุคคลบนสมาร์ทโฟน การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2569 ผู้ใช้สมาร์ทโฟนอย่างน้อย 500 ล้านรายจะใช้สิทธิยืนยันตัวตนเป็นประจำผ่านการใช้กระเป๋าเงินระบุตัวตนดิจิทัลที่สร้างขึ้นจาก Distributed Ledger Technology หรือ เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย
การ์ทเนอร์เชื่อว่าผู้บริหาร CIO ภาครัฐสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กลยุทธ์การระบุอัตลักษณ์ดิจิทัลได้โดยการสร้างยูสเคสและเพิ่มความร่วมมือที่แยกอิสระจากภาคส่วนดั้งเดิมเพื่อเพิ่มมูลค่ายิ่งขึ้นให้ประชาชน รัฐบาล และธุรกิจ โดยผู้บริหารสามารถกำหนดรูปแบบระบบนิเวศใหม่เหล่านี้ขึ้นได้ด้วยการตอกย้ำบทบาทของรัฐที่เป็นผู้เชื่อมโยง ผู้อำนวยความสะดวก และผู้กำกับดูแลอัตลักษณ์ดิจิทัลที่มีศักยภาพ
เทคโนโลยีที่ 3 คือ AI for Decision Intelligence ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอเพื่อการตัดสินใจอัจฉริยะ จุดนี้การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 หน่วยงานภาครัฐมากกว่า 70% จะใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจด้านการบริหารงานของมนุษย์ และในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ เทคโนโลยี Machine learning, Analytics และ Generative AI จะเติบโตก้าวกระโดด และทำงานผสานรวมกันเป็นชุดเครื่องมือสนับสนุนการให้บริการของภาครัฐที่ดียิ่งขึ้น
“เครื่องมือเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างรอบคอบ และสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้บริหาร CIO ของรัฐจะต้องขับเคลื่อนนโยบายการนำ AI มาใช้และกำหนดขอบเขตการกำกับดูแล AI ทั่วทั้งองค์กร โดยจะต้องพัฒนากลยุทธ์ที่รวมเอานโยบายเหล่านี้และให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับ จากนั้นใช้แนวทาง Assurance Approach อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าหลังการนำ AI มาใช้แล้วนโยบายเหล่านี้จะได้รับการปรับปรุง” คิมเบรียล กล่าวเพิ่ม
เทคโนโลยีที่ 4 คือ Digital Platform Agility หรือความคล่องตัวแพลตฟอร์มดิจิทัล เนื่องจากองค์กรภาครัฐกำลังนำโซลูชันบนแพลตฟอร์มมาใช้มากขึ้น เช่น เทคโนโลยีคลาวด์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม หรือ Industry Cloud และแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันแบบ Low-Code ที่ปรับใช้ความสามารถทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วพร้อมจัดการความเสี่ยงในการให้บริการที่เกิดจากระบบที่ล้าสมัย ยืดหยุ่นและปรับขนาดตามความต้องการสำหรับบริการของประชาชนได้ง่ายดาย โดยความสามารถ Cloud-Native ในโซลูชันแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังช่วยควบคุมต้นทุนและใช้เวลาในการดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
โซลูชันแพลตฟอร์มบนคลาวด์จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมและกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในองค์กรภาครัฐ การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหาร CIO ภาครัฐใช้กลยุทธ์ “มัลติคลาวด์” เพื่อเพิ่มประโยชน์ที่ได้รับจากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างสูงสุด และลดความซับซ้อนในการปรับปรุงระบบให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีที่ 5 คือ Programmatic Data Management หรือการจัดการข้อมูลเชิงโปรแกรม เห็นได้จากผู้นำรัฐบาลกำลังเรียกร้องให้มีการใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจและการวางแผนมากขึ้น โดย Programmatic Data Management เป็นแนวทางที่เป็นระบบและมีความสามารถในการปรับขนาดช่วยให้ภาครัฐสามารถใช้สินทรัพย์ข้อมูลทั่วทั้งองค์กรได้ ที่กำลังได้รับการพัฒนาโดยแพลตฟอร์มอัตโนมัติต่างๆ และรวมความสามารถของ AI ไว้ การ์ทเนอร์เผยว่า ภายในปี 2569 องค์กรภาครัฐมากกว่า 60% จะให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนากระบวนการทางธุรกิจแบบอัตโนมัติ เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2565
“ข้อมูลยังคงเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจในรัฐบาลและการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายที่เพิ่มขึ้นตอกย้ำถึงความจำเป็นสำหรับผู้บริหาร CIO ขององค์กรรัฐในการเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของข้อมูลวงกว้าง ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบและโครงสร้างต่างๆ ที่ควบคุมข้อมูลอยู่” คิมเบรียล ทิ้งท้าย