กิกะมอน (Gigamon) บริษัทอเมริกันประกาศความสำเร็จนั่งแชมป์ผู้นำตลาดการสังเกตการณ์เชิงลึก (Deep Observability) ด้วยส่วนแบ่งตลาด 63 เปอร์เซ็นต์ในปี 2566 ชี้เทรนด์องค์กรระดับโลกตะลุยลบจุดบอด Blind spot กันภัยไซเบอร์บนไฮบริดคลาวด์ ด้วยการเดินหน้าปรับใช้ Gigamon Deep Observability Pipeline มั่นใจดูแลรักษาความปลอดภัยและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบไฮบริดในเชิงรุก
นายไซมอน ลี รองประธานฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บริษัท กิกะมอน กล่าวว่าความสามารถในการมองเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทีมรักษาความปลอดภัย เนื่องจากผลกระทบของภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ใหม่หลายรายการบนไฮริดคลาวด์ ซึ่งครอบคลุมถึงการละเมิดแรนซัมแวร์ (ransomware) และการรั่วไหลของข้อมูลต่อสาธารณะ
"ยิ่งตรวจจับสิ่งผิดปกติได้เร็วเท่าไร เราก็จะสามารถแยกเหตุการณ์ต้องสงสัยและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายได้เร็วขึ้นเท่านั้น โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กิกะมอนได้ช่วยระบุการโจมตีของแรนซัมแวร์ (ransomware) ที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงอย่างมากได้แล้ว 2-3 รายการ"
ในขณะที่มีส่วนแบ่งตลาด 63 เปอร์เซ็นต์ Gigamon ระบุว่าบริษัทมีอัตราการเติบโต 43 เปอร์เซ็นต์ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อมูลจากรายงานฉบับใหม่ที่ได้รับการเผยแพร่โดย 650 กรุ๊ป (650 Group) บริษัทวิจัยด้านการตลาดที่พบว่าตลาดรวมของตลาดการสังเกตการณ์เชิงลึกมีการเติบโตที่ 61 เปอร์เซ็นต์ในปี 2566 และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากองค์กรต่างๆ ได้หันมาใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากรายงานดังกล่าวได้มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ไว้ที่ 40 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าจะมีรายได้เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2571
นอกจากนี้ รายงาน 2023 Hybrid Cloud Security ยังพบด้วยว่า ปัจจุบันหนึ่งในสามของผู้บริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Chef Information Security Officer: CISO) ยังขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแหล่งจัดเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญสูงสุดขององค์กร รวมถึงวิธีรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลดังกล่าว โดยจะเห็นได้ว่าบรรดาผู้ที่ต้องการก่อภัยคุกคามกำลังใช้ประโยชน์จากช่องว่างด้านความปลอดภัยเหล่านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่ร้ายแรงอันเป็นผลมาจากการที่ไม่สามารถวิเคราะห์การรับส่งข้อมูลแบบเข้ารหัส (encrypted traffic) ได้อย่างดีพอ อีกทั้งระบบบคลาวด์ที่ใช้งานอยู่ รวมถึงเครื่องมือรักษาความปลอดภัยและเครื่องมือสังเกตการณ์ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถตรวจจับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในเชิงรุกได้ เนื่องจากข้อมูลที่เข้ารหัสจะลัดเลาะเข้าไปยังภายใน ภายนอก หรือครอบคลุมทั่วทั้งโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบไฮบริดขององค์กรได้อย่างง่ายดาย
แนวโน้มของภัยคุกคามที่ยังคงเดินหน้าพัฒนาอยู่ตลอดเวลานี้ยังคงกระตุ้นให้เกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญสำหรับตลาดการสังเกตการณ์เชิงลึก เนื่องจากองค์กรต่างๆ กำลังหันมาให้ความสำคัญกับความสามารถในการมองเห็นข้อมูลทั้งหมดที่เคลื่อนไหวภายในองค์กร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย
สำหรับกิกะมอน ดีป ออฟเซอร์วาบิลิตี้ ไปป์ไลน์ (Gigamon Deep Observability Pipeline) นำข้อมูลอัจฉริยะที่ได้รับจากเครือข่ายไปยังระบบคลาวด์ เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัย และเครื่องมือสังเกตการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ลูกค้าสามารถขจัดจุดบอดด้านความปลอดภัย ตลอดจนดูแลรักษาความปลอดภัยและจัดการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบไฮบริดได้ดียิ่งขึ้น โดยมุมมองที่มีเอกลักษณ์และครอบคลุมนี้พร้อมความสามารถในการสังเกตการณ์เชิงลึกบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ที่มีการรับส่งข้อมูลอย่างรอบด้าน รวมถึงการให้ความปลอดภัยและยกระดับประสิทธิภาพให้ดียิ่งกว่าเดิม
ปัจุบัน บริษัท กิกะมอน ให้บริการลูกค้ามากกว่า 4,000 รายทั่วโลก ซึ่งมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นบริษัทที่อยู่ทำเนียบฟอร์จูน 100 ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ที่สุด 9 รายจาก 10 ราย ตลอดจนรัฐบาลและองค์กรด้านการศึกษานับร้อยแห่งทั่วโลก