Apple เปิดตัว iPad Pro และ iPad Air รุ่นใหม่ ที่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบหลายปี ด้วยการทำให้ iPad Pro บางลง และใช้ชิปใหม่ล่าสุดอย่าง Apple M4 มาพร้อม Apple Pencil Pro และคีย์บอร์ดใหม่ ขณะที่ iPad Air มีขนาดหน้าจอให้เลือกเพิ่มขึ้นเป็น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว
iPad Air ในรอบนี้ปรับมาใช้ชิป Apple M2 เหมือนใน iPad Pro รุ่นก่อนหน้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีขึ้น หรือเทียบได้กับปรับมาใช้ดีไซน์ของ iPad Pro รุ่นเดิม คือ 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว
นอกจากนี้ ยังปรับให้พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 128 GB มีตัวเลือก 256 GB 512 GB และ 1 TB วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ น้ำเงิน ม่วง สตาร์ไลท์ และสเปซเกรย์ ในราคาเริ่มต้นรุ่น 11 นิ้ว อยู่ที่ 23,900 บาท และ 13 นิ้ว อยู่ที่ 29,900 บาท
ส่วน iPad Pro มีการปรับปรุงดีไซน์ครั้งใหญ่ให้เครื่องบางลง ในรุ่น 11 นิ้ว บาง 5.3 มม. และ 13 นิ้ว บาง 5.1 มม. ทำให้กลายเป็นแท็บเล็ตขนาด 13 นิ้ว ที่บางที่สุด และน้ำหนักเบาลง
หน้าจอของ iPad Pro รุ่นใหม่ปรับมาใช้ Ultra Retina Display ที่ให้ความสว่างเพิ่มขึ้น ด้วยการนำ Tandem OLED มาใช้งาน ให้ความสว่างหน้าจอที่ 1000 nits และสูงสุดที่ 1600 nits
ภายในของ iPad Pro นำชิปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple M4 มาใช้งาน และเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลก ก่อนนำไปใช้งานใน MacBook ต่อไป ชูความโดดเด่นในเรื่องการประมวลผลที่เร็วขึ้น จากซีพียู 10 คอร์ จีพียู 10 คอร์ และมีจำนวน NPU เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38 ล้านล้านทรานซิสเตอร์ กล้องของ iPad Pro จะยังคงมีกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล และปรับกล้องหน้ามาอยู่ในแนวนอน มีการเปิดตัว Magic Keyboard รุ่นใหม่ที่เบา และบางลงเช่นเดียวกัน
สำหรับราคาเปิดตัวของ iPad Pro เริ่มต้นที่ 11 นิ้ว 39,900 บาท และ 13 นิ้ว อยู่ที่ 52,900 บาท ความจุเริ่มต้น 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB ส่วน Magic Keyboard รุ่นใหม่ ใช้งานร่วมกับ iPad Proใหม่และมีให้เลือกทั้งสีดำ และสีขาว ในราคา 11,990 บาท ส่วน Magic Keyboard รุ่น 13 ในราคา 13,990 บาท
สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในงานหนีไม่พ้น Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ ที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งการใส่ชิป Gyroscope มาภายใน พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆ ทำให้การใช้งานมีความแม่นยำมากขึ้น สามารถหมุน Pencil Pro เพื่อเปลี่ยนมุมของลายเส้นได้ และที่สำคัญรองรับ Find My ในการค้นหาอุปกรณ์แล้ว ในราคา 4,990 บาท
พร้อมกันนี้ Apple ยังได้เปิดเผยถึงการนำโปรแกรมยอดนิยมในกลุ่มครีเอเตอร์ทั้ง Finalcut Pro และ LogicPro 2 มาให้ใช้งานบน iPadOS เพิ่มเติม ผสมกับประสิทธิภาพของ Apple M4 ทำให้ประมวลผลได้เร็ว และรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น