‘ไปรษณีย์ไทย’ ดิ้นสู้สุดตัว พลิกกลับผงาด กวาดกำไรแรกในรอบ 3 ปี 78.54 ล้านบาท อานิสงส์เศรษฐกิจผงกหัว หั่นต้นทุน ขยายทีมดูแลลูกค้า พัฒนาสินค้าตรงใจผู้บริโภค ไม่งอมืองอเท้า แม้แข่งขันไม่เป็นธรรม ตั้งเป้าปี 67 รายได้มีกำไร 5 เท่า ตั้งเป้าเป็น ‘Trusted Sustainable ASEAN Brand’ ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและเป็นแบรนด์น่าเชื่อถือแห่งอาเซียนใน 3 ปี
"ไปรษณีย์ไทยเติบโตจากการเป็น Physical leaderในรูปแบบออฟไลน์ ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อความต้องการของลูกค้าจากการสัมผัสโดยตรง จะใช้ความแข็งแกร่งนี้ในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน เพื่อส่งมอบการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านไปรษณีย์ไทย ที่ไม่ใช่แค่การส่งจดหมายหรือพัสดุ แต่ผลิตภัณฑ์หรือโปรดักต์คือประสบการณ์ของลูกค้า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ"
ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวในงานแถลงข่าวภาพรวมรายได้และการเติบโตของไปรษณีย์ไทยในปี 66 ที่มีรายได้รวม 20,934.47 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้น 7.40% พลิกทำกำไร 78.54 ล้านบาท ครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 65 ที่ 19.35% ซึ่งปีนั้นขาดทุนยับเยินที่ 2,885.60 ล้านบาท และปี 64 ขาดทุน 1,624 ล้านบาท
กำไรแรกรอบ 3 ปี ใช่โชคช่วย
ดนันท์ กล่าวว่า เส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นผลมาจากการวางแผนและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งด้านระบบขนส่ง บุคลากร และต้นทุนการขาย ขยายทีมดูแลลูกค้าเกือบ 4 เท่า ตามแผน Zero Complain เพื่อตอบสนองบริการ ลดเรื่องร้องเรียน และแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชม. สำเร็จได้ถึง 95% อีกทั้งมีลู่ทางการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกและการเงินจากการพัฒนาสินค้าตามความต้องการผู้บริโภค ทำรายได้ 34.26% แตะระดับ 1,000 ล้านบาท จึงไม่พลาดที่จะเสนอโซลูชันใหม่เพิ่มเติมในปีนี้
"การพลิกฟื้นจนกลับมามีกำไรไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่มีเหตุผล แต่เป็นผลมาจากความพยายามด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะเชื่อมั่นว่า ด้วยช่องทางและเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพของไปรษณีย์ไทยจะทำให้ธุรกิจเติบโตและขยายตัวได้อีก ซึ่งไม่ใช่การเติบโตเพียงลำพังแต่ผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนมีโอกาสเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเติบโตไปด้วยกันในอนาคต" ดนันท์ กล่าว
เจรจาอีคอมเมิร์ซจีน ร่วมวงส่งออนไลน์
ในปี 67 ไปรษณีย์ไทยตั้งงบลงทุนไว้กว่า 1,000 ล้านบาทสำหรับปรับเปลี่ยนรถนำจ่ายจากรถยนต์น้ำมัน ราว 1,000 คัน ซึ่งกว่า 30% เป็นรถเช่าให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 250 คัน และจะทยอยเปลี่ยนรถที่หมดอายุหรือหมดสัญญาเช่าให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายใน 5 ปี โดยเฉพาะ Last-mile หรือการขนส่งจากศูนย์กระจายสินค้าถึงมือผู้รับในระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร ส่วนระยะทางที่ไกลกว่านั้นยังคงต้องใช้รถยนต์น้ำมันอยู่
ซึ่งคาดว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยลดต้นทุนลงได้ประมาณ 70% แม้ว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะยังสูงกว่ารถยนต์น้ำมัน แต่มองในภาพรวมและทิศทางในอนาคตมากกว่า เพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นเพียงผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจากับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีน ในการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ตั้งแต่เดือน ก.ย.67 หากทำสำเร็จจะส่งผลให้รายได้ปีนี้ของไปรษณีย์ไทยเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่ยากที่จะประเมินได้ชัดเจนถึงขนาดการเติบโตนั้น
"การไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล ถือเป็นความท้าทายในการหารือกันครั้งนี้ ที่ผ่านมาการเชื่อมต่อไม่สำเร็จมาจากนโยบายของจีนที่ต้องการเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์ระหว่างกันเท่านั้น โดยมีบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลระบบและควบคุมบริการต่างๆ การจะเชื่อมต่อกับระบบโลจิสติกส์ของจีนได้จำเป็นต้องผ่านการหารือและข้อตกลงกับบริษัทดังกล่าว ซึ่งนับเป็นข้อจำกัดที่ไปรษณีย์ไทยต้องเจอ แต่ด้วยการเจรจาและความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่า แม้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เราจะไม่นั่งงอมืองอเท้า ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายบางตัวในอนาคตอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย" ดนันท์ ระบุ
ตั้งเป้าโกยกำไรเพิ่ม 5 เท่า
สำหรับปีนี้ ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 22,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5 เท่าของปี 66 จากบริการหลักที่หลากหลาย เช่น บริการขนส่งและโลจิสติกส์ บริการไปรษณียภัณฑ์ บริการค้าปลีก บริการการเงิน และบริการคลังสินค้า ความสำเร็จนี้คาดว่าจะเกิดจากทรัพยากรที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 30,000 แห่ง และการเปิดจุดให้บริการไปรษณีย์ไทย@ธงฟ้า กว่า 20,000 แห่ง ทีมงานบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน พร้อมให้บริการตลอดทั้งปี
การขยายศูนย์ไปรษณีย์สกลนครเพื่อรองรับงานเพิ่มในภาคอีสานตอนบน บริการใหม่อย่าง Prompt Post ที่จะเปิดให้ทายผลฟุตบอลยูโร 2024 e-Timestamp e-Signature e-Seal เพื่อความปลอดภัยของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง Digital Post Box และการใช้ศักยภาพของบุรุษไปรษณีย์ให้บริการอย่างมืออาชีพ เช่น การสำรวจสินทรัพย์ การรับส่งสิ่งของตามความต้องการ นอกจากนี้ ยังมีการขายสินค้า House Brand อย่างกาแฟ ข้าวสาร และน้ำดื่ม ภายใต้แบรนด์ตราไปร ที่มีคุณภาพสูง เพื่อเสนอให้ผู้บริโภค
"เริ่มขายสินค้า House Brand ตั้งแต่เดือน ต.ค.66 โดยไม่คิดค่าจัดส่งและลูกค้าไม่ต้องแบกหิ้วเอง โดยสามารถสั่งซื้อได้ที่ไปรษณีย์หรือกับบุรุษไปรษณีย์ สินค้าเหล่านี้มีราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปเพราะไปรษณีย์ไทยไม่มีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและโลจิสติกส์ โดยเฉพาะข้าวสารที่ไปรษณีย์ไทยได้คัดสรรข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดจากเกษตรกรมาจำหน่าย ปัจจุบันมียอดขายรวมกันแล้วกว่า 20 ล้านบาท และมีแผนจะออกสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคเพิ่มเติมในอนาคต" ดนันท์ กล่าว
3 ปีปั้นแบรนด์น่าเชื่อถือแห่งอาเซียน
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยได้กำหนดเส้นทางใหม่สำหรับ 3 ปีข้างหน้า ด้วยเป้าหมายอันทะเยอทะยานที่จะสร้างตัวเองให้เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและยั่งยืนในอาเซียน (Trusted Sustainable ASEAN Brand) ไม่เพียงแต่ปรับวิสัยทัศน์ให้สอดคล้องกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ยังเริ่มการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 10 ประการ เพื่อนำพาองค์กรเข้าสู่ยุคใหม่รวมถึงการยกระดับคุณภาพบริการเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์จากระบบราชการไปสู่การเป็นเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและสร้างสรรค์มากขึ้น กลายเป็นบริษัทโลจิสติกส์แห่งข้อมูลที่ใช้ข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนาบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ไม่พอแค่นั้น ยังบูรณาการข้อมูลที่มีอยู่ให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อยกระดับสัมพันธภาพที่ดีให้เป็นความเชื่อมั่น ขยายฟังก์ชันการทำงานของบุรุษไปรษณีย์ หรือ Postman สู่ Post-Gentleman as a service ก็เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ชวนตื่นเต้น พร้อมทั้งการปรับวิธีคิดในการแข่งขันให้เป็นการร่วมมือกัน เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์
‘วันนี้เมื่อก้าวเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์ จะพบว่า ไม่ได้มีเพียงบริการส่งของเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นศูนย์บริการทางการเงินที่ครบวงจร ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมการเงินได้ทั้งโอนเงิน ฝาก-ถอนเงิน ซื้อประกันภัย แม้กระทั่งซื้อสินค้าโอทอป และการจ่ายบิลต่างๆ ประหนึ่งเคาน์เตอร์เซอร์วิส และอีกไม่นาน ไปรษณีย์ไทยมีแผนที่จะรวม e-Government service เข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปหลายๆ ที่ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน เชื่อมโยงสังคมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน เพราะแบรนด์ไม่ใช่สิ่งที่เงินสร้างได้ ภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร สิ่งสำคัญ คือ พฤติกรรมและนิสัยที่ดี น่าคบหา ซึ่งจะช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน’ ดนันท์ ระบุ