ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ก้าวสู่เทคคอมพานี นำโซลูชัน และดิจิทัลเซอร์วิสเข้าไปดูแลลูกค้าภาคธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน รับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของธุรกิจในไทย
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และพม่า กล่าวว่า จากการสำรวจลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจไทย มากกว่า 90% เข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืน และเป็นพื้นฐานของแผนความยั่งยืน
“98% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยให้ข้อมูลว่าองค์กรมีแผนและเป้าหมายด้านความยั่งยืน และมีเพียง 53% เท่านั้นที่มีกลยุทธ์ครอบคลุม และยังมีช่องว่างสีเขียว หรือ Green Gap ที่ยังไม่ได้ถูกนำปฏิบัติถึง 45% ที่เป็นโอกาสของชไนเดอร์ฯ”
เบื้องต้น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีแผนในการเสริมพอร์ตโฟลิโอด้านซอฟต์แวร์ นอกเหนือจาก EcoStruxure เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพที่จะนำลูกค้าไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น เช่น AVEVA, IGE+XAO และ ETAP สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบไฟฟ้าเป็นหลัก และซอฟต์แวร์ RIB, Planon สำหรับอาคาร
“ในอนาคตสมาร์ทบิลดิ้ง และสมาร์ทกริดจะสื่อสารกัน เพื่อช่วยให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงในฝั่งของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มีการนำเทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการพลังงานได้อย่างครบวงจรผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม”
ภายใต้แคมเปญ Impact Maker ที่มุ่งสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ร่วมและลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงและสร้างโลกที่ยั่งยืนขึ้น ผลักดันเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยการดำเนินการปฏิบัติ เพราะเรื่องความยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และต้องนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วจริงนำมาปรับใช้และช่วยสร้างความยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนกับเทคโนโลยี AI และแมชชีนเลิร์นนิ่ง มาช่วยลูกค้าในการให้คำปรึกษาเพื่อนำเสนอบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่ให้มุมมองเชิงลึกและการวิเคราะห์ในส่วนของพอร์ตด้านพลังงานและความยั่งยืนของบริษัท
ทั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความพร้อมขององค์กรทั้งในแง่ของอีโคซิสเต็ม พันธมิตรที่ทำงานร่วมกันทั้งทั่วโลก และมากกว่า 5,000 รายในประเทศไทย มีศูนย์ผู้เชี่ยวชาญที่ครอบคลุม ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนบุคลากรให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน
สำหรับในปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีรายได้จากทั่วโลกอยู่ที่ 35,902 ล้านยูโร เติบโตขึ้นราว 13% และมีการนำ 5% จากยอดขายกลับไปใช้เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และโซลูชันเพื่อความยั่งยืน ขณะเดียวกันสัดส่วนรายได้ของชไนเดอร์ฯ กว่า 18% มาจากการให้บริการ และซอฟต์แวร์